Skip to content
Home » “รวมไทยสร้างชาติ”มีมติสนับสนุนร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับของครม.

“รวมไทยสร้างชาติ”มีมติสนับสนุนร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับของครม.

“รวมไทยสร้างชาติ”มีมติสนับสนุนร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับของครม. ที่จะเสนอเข้าสภาฯสัปดาห์นี้ ผลักดันให้มีกฎหมายจัดการกับแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM 2.5 ให้เกิดผลสำเร็จทำให้อากาศสะอาดแก้ปัญหาให้กับประชาชน

เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังการประชุมพรรคว่า ที่ประชุมพรรคมีมติร่วมกันให้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.การจัดการอากาศสะอาดที่จะเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรอาทิตย์นี้ ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทางพรรคเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่จะต้องเร่งผ่านกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้ามาจัดการฝุ่น PM 2.5 ทำให้อากาศสะอาดให้กับประชาชน

ทั้งนี้ เดิมกฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมในการบูรณาการของหน่วยงานต่างๆในการจัดการกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กฎหมายเดิมไม่ทันกับสถานการณ์ที่มีผลกระทบด้านอากาศต่อประชาชน การที่รัฐบาลเสนอกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาฯทางพรรคจึงมีมติร่วมกันในการสนับสนุนร่างพ.ร.บ.การจัดการอากาศสะอาด เพื่อให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพในการแก้ไขฝุ่น PM 2.5 ให้กับประชาชน

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวด้วยว่า กฎหมายถือเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาของรัฐบาล เมื่อกฎหมายฉบับนี้ออกมาคิดว่า การจัดการฝุ่น PM 2.5 จะดีขึ้นอย่างแน่นอนเนื่องจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีเครื่องมือในการดำเนินการไปจัดการฝุ่น PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษมลภาวะทางยานยนต์ มลภาวะหรือฝุ่นที่ข้ามแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงฝุ่นจากการเผาไร่นา หากมีกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้การแก้ไขปัญหาก็จะมีประสิทธิภาพแน่นอน

“ฝุ่น PM 2.5 มาจากหลายแหล่งกำเนิด ในแต่ละพื้นที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่เหมือนกัน เช่น กทม.อาจจะมาจากการขนส่งเป็นผลมาจากไอเสียที่ปล่อยมาจากเครื่องยนต์ที่มีการสันดาป ในต่างจังหวัดมาจากการเผาไร่นา ในเขตอุตสาหกรรมมาจากโรงงานอุตสาหกรรม ในส่วนของชายแดนฝุ่นจะข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นควันจากไฟป่า ดังนั้นต้องมีหลายหน่วยงานเข้ามาดูแล จะให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เข้ามาจัดการไม่ได้ เพราะแหล่งกำเนิดที่เป็น PM 2.5 มาจากหลายแหล่ง จึงต้องอาศัยกฎหมายฉบับนี้ บูรณาการจากหลายหน่วยงาน มาจัดการให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด”นายอัครเดช กล่าว