Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the neve domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. โปรดดู การแก้ข้อผิดพลาดใน WordPress สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม (ข้อความนี้ถูกเพิ่มมาในรุ่น 6.7.0.) in /var/www/vhosts/unitedthaination.or.th/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6114
เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ อภิปรายสนับสนุนการจัดงบปี 2567 - พรรครวมไทยสร้างชาติ
Skip to content
Home » เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ อภิปรายสนับสนุนการจัดงบปี 2567

เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ อภิปรายสนับสนุนการจัดงบปี 2567

เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.รวมไทยสร้างชาติ อภิปรายสนับสนุนการจัดงบปี 2567 ย้ำต้องใช้งบอย่างสุจริต โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พร้อมเรียกร้องให้กรมบัญชีกลางปรับหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการเสียใหม่ ลดการเอื้อประโยชน์ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ

เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่า วันนี้ขอทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ที่ฝากมาขอบคุณรัฐบาล นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยเฉพาะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ที่มีนโยบายลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนมาแล้วเป็นเวลา 3 เดือน

ทั้งนี้ มีทั้งการตรึงราคาก๊าชหุงต้ม 423 บาท/ถัง (ถัง 15 กก.) การลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาท/ หน่วย ช่วยลดค่าใช้จ่าย 15% ซึ่งประชาชนมีความต้องการให้คงราคาค่าไฟไว้ที่ 3.99 บาท/ หน่วย และผู้ประกอบการต้องการคงราคาค่าไฟไว้ไม่เกินที่ 4.20 บาท/ หน่วย นอกจากนั้นมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท และเบนซินลดลง 2.50 บาท ช่วยลดค่าใช้จ่าย 15%

นอกจากนั้น ในช่วงปีใหม่ วันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 2 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานได้ตรึงราคาน้ำมันคงที่ทำให้ไม่เกิดการเก็งกำไรราคาน้ำมันและไม่ขาดแคลนน้ำมันในช่วงวันหยุด ซึ่งพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ต้องการราคาน้ำมันคงที่ไม่ขึ้นไม่ลงตลอดไป เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารค่าใช้จ่าย ขณะที่เอกชนไม่ต้องกังวลเรื่องราคาสินค้า และไม่ต้องเก็บสต๊อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาครัฐก็ลดค่าใช้จ่าย ค่าชดเชยตามสัญญาแบบปรับราคาได้ เป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท

นายเกชา กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิดในปี 2563 น้ำมันราคาถูกลง ต่อมา ปี 2564 ,2565,2566 สถานการณ์โควิดดีขึ้น และมีสถานการณ์สงคราม ทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้น ทำให้รัฐต้องมีภาระจ่ายเงินชดเชย ตามสัญญาแบบปรับราคาได้ ซึ่งรัฐจะจ่ายให้ต้องรอ 2-3 ปี ผู้ประกอบการฝากตนมาว่า ค่าใช้จ่ายชดเชยค่า K อยากให้รัฐจ่ายภายใน 1 ปี เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่างจากกรณีเอกชนที่ต้องจ่ายคืนค่าชดเชยค่า K ให้กับรัฐต้องจ่ายภายใน 15 วัน

นายเกชา กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้าน บาท เป็นงบแบบขาดดุลประมาณ 7 แสนล้านบาท ตนเห็นด้วยกับรัฐบาล ในการจัดงบขาดดุล เพราะรัฐต้องเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ ตามพ.ร.บ.งบประมาณ งบลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% โดยมีงบลงทุน 7 แสนล้านบาท มากกว่าปี 2566 ที่มี 611,933 ล้านบาท ยังไม่รวม รัฐวิสาหกิจ 56 แห่งและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,906 แห่ง รวมงบลงทุนทั้งหมดน่าจะประมาณ 1 ล้านล้าน โดยต้องใช้อย่างสุจริต และโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายเรียกร้องให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจัดซื้อ จัดจ้างอย่างโปร่งใส มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยประกาศหลักเกณฑ์มาแล้ว 3 ฉบับใช้ระบบ E- bidding ในการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้เกิดความสะดวกในการซื้อแบบ ซื้อเอกสาร ออกหนังสือค้ำประกันจากธนาคาร เสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก แต่ภาครัฐประหยัดงบประมาณได้ไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากที่ผ่านมา มีข้อมูลรั่วไหล เช่น รายชื่อผู้ซื้อแบบ ซื้อเอกสารรั่ว ราคากลางที่เสนอรั่ว

อย่างไรก็ตามใน ปี 2566 กรมบัญชีกลางได้เปลี่ยนระบบ E – bidding จากการขายแบบขายเอกสารเป็นแบบประกาศขึ้นหน้าเว็บไซต์ ทำให้ข้อมูลผู้รับแบบรับเอกสารราคาที่เสนอไม่รั่วไหล ทำให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการลดราคา 10-40 % เรื่องนี้ก็ต้องขอชื่นชมกรมบัญชีกลาง ขณะที่งบประมาณปี 2567 คาดว่าจะใช้ได้ประมาณเดือนพฤษภาคม จะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยไม่รวมท้องถิ่น ซึ่งเงินเหลือจ่ายส่วนนี้รัฐสามารถนำไปใช้ในส่วนอื่นที่จำเป็นได้อีกจำนวนมาก ก็ขอฝากนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปรับปรุงระบบ E – bidding รูปแบบใหม่ทำให้ข้อมูลไม่รั่วไหล ทำให้ประเทศชาติประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมาก

นายเกชา กล่าวว่า เนื่องจากระยะเวลาในการใช้งบประมาณมีเวลาเหลือ 5 เดือน ตนขอเสนอหลังจากที่สภาฯรับหลักการวาระ 1 แล้วขอให้หน่วยงานที่ใช้งบประมาณในการลงทุนได้หาตัวผู้รับจ้างรอไว้เลยไม่ต้องเสียเวลาอีก 1-2 เดือน เพื่อเตรียมความพร้อมและรวดเร็วในการใช้งบประมาณเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรจะมีการเตรียมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ขณะที่เรามีเจ้าหน้าที่พัสดุ มีความชำนาญ เชี่ยวชาญ และมีความพร้อมทำทุกขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว

“ แต่ยังมีหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการบางสาขา ที่ทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก คือ สาขางานก่อสร้างทางชั้นพิเศษ ที่มีผู้รับเหมาชั้นที่ 1 ร้องเรียนจำนวนหลายราย โดยการประกาศหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง สร้างเงื่อนไขกีดกันการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมา ชั้น 1 ไปเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ โดยกำหนดเงื่อนไขต้องมีประสบการณ์รับงานในโครงการ 1 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท แต่ในประกาศหลักเกณฑ์กำหนดให้ผู้รับเหมาชั้น 1 เข้าประมูลงานโครงการที่มีมูลค่าได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และ 1 ก 600 ล้านบาท เป็นการยากมากๆที่ผู้รับเหมาชั้น 1 จะประมูลงานที่มีมูลค่ามากกว่า 450 ล้านบาทได้” นายเกชากล่าว

ทั้งนี้ การเลื่อนชั้นผู้รับเหมาจากชั้นที่ 6 ไปถึงชั้นที่ 1 ใช้ผลงานเพียงกึ่งหนึ่งของสิทธิ์การประมูล ส่วนการเลื่อนผู้รับเหมาชั้นที่ 1 เป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ต้องใช้ผลงาน 450 ล้านบาท ( 90%) ของสิทธิ์การประมูล ทำให้ไม่สามารถเลื่อนชั้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษได้ เป็นหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาชั้นพิเศษซึ่งมีไม่กี่รายหรือไม่ หากแก้ไขปรับปรุงประกาศหลักเกณฑ์ ของกรมบัญชีกลาง โดยปรับเงื่อนไขผลงานให้สอดคล้อง กับสัดส่วนของการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมาชั้นอื่น จะทำให้ประเทศชาติประหยัดงบประมาณได้ปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า จากผลประมูลงานที่ผ่านมาของผู้รับเหมาชั้น 1 และผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ผู้รับเหมาชั้น 1 ประหยัดงบประมาณได้ 20% โดยมีผู้ซื้อเอกสาร 20-30 ราย ขณะที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง 0.5% มีผู้ซื้อแบบ 3-5 รายเท่านั้น ซึ่งในงบปี 2567 วงเงินที่ผู้รับเหมาชั้น1 มีสิทธิ์ประมูลได้ในวงเงิน 300 – 600 ล้านบาท มีเพียง 10 โครงการ งบประมาณ 5,390 ล้านบาท (มี 67 ราย) ไม่มีงบของกรมทางหลวงชนบท วงเงินที่เกิน 600 ล้านบาท (ทล.50 + ทช. 11) มากถึง 61 โครงการ งบประมาณ 52,723 ล้านบาท (มี 79 ราย) อยากถามว่าเป็นการจัดงบแบบเหลื่อมล้ำ ไม่กระจายงบประมาณให้กับผู้รับเหมาชั้นอื่น ๆหรือไม่

นายเกชา กล่าวว่า อยากฝากนายกฯได้กำชับกรมบัญชีกลางให้แก้ไขหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นผู้รับเหมาจากชั้น 1 เป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ โดยการแก้ผลงานจาก 450 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท ให้เกิดความเป็นธรรมและใช้งบประมาณให้เกิดความสุจริต เปิดเผย โปร่งใส อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 66 กรมทางหลวงได้แจ้งผู้รับเหมาให้เตรียมความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงผิวทางแบบ Asphalt Hot Mix In-Plant Recycling โดยรายละเอียดและคุณสมบัติของโรงงานผสมแอสฟัลค์คอนกรีตจะแจ้งให้ทราบต่อไป ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. 66 กรมทางหลวงแจ้งว่า จะรับยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อขึ้นบัญชีโรงงานผสมแอสฟันต์คอนกรีต สำหรับเสนอราคางานปรับปรุงผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีตเดิม นำกลับมาใช้ใหม่ด้วยวิธีAsphalt Hot Mix In-Plant Recycling ปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2567 หลังประกาศมีเวลาเพียง 30 วันเท่านั้น ถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางกลุ่ม

“การประกาศเช่นนี้ไม่ทราบว่ากรมทางหลวงได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้วหรือยัง เพราะว่าผู้รับเหมาต้องซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มเติม ชุดละประมาณ 20 ล้านบาท และต้องใช้เวลานำเข้าจากต่างประเทศ ต้องใช้งบในการซื้อเครื่องจักรของผู้รับเหมาทั้งประเทศอีกนับหมื่นล้านบาท เป็นการเสียดุลการค้าในสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว จึงขอฝากกรมบัญชีกลางไปตรวจสอบด้วย และถ้าเป็นไปได้ให้กรมบัญชีกลางยกเลิกบัญชีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับหน่วยงานต่างๆ และให้กรมบัญชีกลาง ดำเนินการขึ้นทะเบียนเพียงหน่วยงานเดียว เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน” ”นายเกชากล่าว

นายเกชา กล่าวฝากสำนักงบประมาณ ไปดูเรื่องบัญชีนวัตกรรมที่มีราคาแพงมาก และได้สิทธิ์พิเศษในการเสนอราคาโดยเฉพาะประกอบด้วย 1.เสาไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถึงชุดละ 67,000 บาท ขณะที่กทม.เพียงต้นละ 35,000บาท ขณะนี้ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบเสาไฟฟ้าแบบนี้ซึ่งในภาคอีสานมีเป็นจำนวนมาก และ 2.ประปาป็อก แทงค์ ราคาชุดละ 3-5 ล้านบาทแล้วแต่ขนาด

นายเกชา กล่าวย้ำว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะฟื้นตัว และ ปี 2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากว่าปีนี้เรามีงบประมาณ ทั้งปี 2567 และ ปี 2568 ติดต่อกัน ทำให้มีเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ สร้างความสุขให้พี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า