“เอกนัฏ” เผยมติคณะกรรมการบริหารพรรค ระบุให้หัวหน้าพรรคพิจารณารายชื่อรัฐมนตรีของพรรคตามคุณสมบัติความเหมาะสม
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในการพิจารณาสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรค ว่าการประชุมเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยที่ผ่านมาได้มีการวางหลักเกณฑ์ในการพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป โดยในการเลือกบุคคล ที่ประชุมได้มีมติให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้พิจารณา และส่งชื่อให้กับทางพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
สำหรับในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ได้รับจัดสรรตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และพิจารณาให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย ส่วนอีก 3 ตำแหน่ง ได้ให้หัวหน้าพิจารณาตามหลักเกณฑ์
เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อที่สื่อนำเสนอตอนนั้น เป็นเพียงการคาดการณ์ โดยไม่ได้เป็นการจัดสรรตามโควต้าแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของพรรค โดยพรรคให้ความเป็นธรรมกับ สส.ทุกคนในพรรคอย่างเท่าเทียมกัน
“ในการพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จะเป็นการพิจารณาตามทั้งเรื่องความอาวุโส ความเหมาะสม ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความทุ่มเทในการทำงานให้กับประชาชนตามหลักเกณฑ์ของพรรคที่วางไว้ โดยหัวหน้าพรรคจะเป็นผู้พิจารณาทั้งหมดตามที่คณะกรรมการบริหารพรรคมอบหมาย” นายเอกนัฏ กล่าว
นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคนนอกที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐามนตรีนั้น สามารถมีได้ โดยเฉพาะในบางตำแหน่ง เช่น ในส่วนของกระทรวงการคลัง เนื่องจากต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เฉพาะตัว ซึ่งก็ได้มีการมอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคนำไปพิจารณาคนนอกได้ ซึ่งหัวหน้าพรรคจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของพรรคไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนใน จะเสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน
ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงการวางรายชื่อของ สส.ของพรรคในโผ และระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปมาตามที่ปรากฎในสื่อนั้น เป็นเพียงการคาดการณ์ของสื่อ โดยความจริงแล้ว ไม่เคยมีการพิจารณาหรือส่งชื่อใครไปก่อนเลย ข่าวที่ออกมาจึงเป็นเพียงการคาดการณ์ และขอปฏิเสธว่าไม่มีการดึงกลับ หรือเปลี่ยนรายชื่อแต่อย่างใด รายชื่อทั้ง 4 คน เป็นกระบวนการเดียว การพิจารณาครั้งเดียว ส่งแล้วไม่มีการดึงกลับ
เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า ในการพิจารณาไม่ได้มีการโหวต แต่ตามข้อบังคับของพรรคได้เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคเสนอชื่อมาได้ แต่เมื่อเสนอมาแล้ว ก็เป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารพรรคที่จะมีมติ แต่คณะกรรมการบริหารฯ ก็ได้มอบหมายให้หัวหน้าเป็นผู้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ เว้นตำแหน่งเดียวคือหัวหน้าพรรค ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งถือว่าเป็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง
นายเอกนัฏ ยังได้ปฏิเสธข่าวความขัดแย้งของ สส.ภายในพรรค โดยระบุว่า พรรคได้มีการสื่อสารกับ สส.ทุกคนแล้วว่าการพิจารณาคัดเลือกนั้น ให้ความสำคัญเรื่องหลักเกณฑ์ที่พรรคมีแนวทางอยู่แล้ว และได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ซึ่งตนก็ได้พูดคุยกับ สส. ทุกคนในพรรค โดยทุกคนยืนยันกลับมาว่าจะทำงานต่อให้กับพรรค และจะทำให้พรรคเติบโต และหากพรรคเติบโตขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะได้ได้ตำแหน่งที่จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเพิ่มขึ้น
ในส่วนของตำแหน่งที่ระบุว่าเป็นคนนอกนั้น นายเอกนัฎ กล่าวว่า ที่ประชุมให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าพรรค ไม่ได้เป็นการเสนอชื่อไปให้หัวหน้าเพื่อพิจารณา แต่เป็นพิจารณาหลักเกณฑ์และอนุมัติหลักเกณฑ์ โดยพิจารณาภาพรวมของทุกตำแหน่ง ซึ่งถ้าเป็นไปได้พรรคก็จะให้ความสำคัญกับ สส.เขตของพรรคก่อน แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ภาพรวมของรัฐบาลด้วยว่า องค์ประกอบของรัฐบาลเป็นอย่างไร นโยบายที่พรรคพยายามจะผลักดันจะทำได้หรือไม่ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ใช่การตอบแทน สส. แต่รัฐมนตรีของพรรคที่จะไปทำงานก็ต้องไปผลักดันนโยบายของพรรคด้วย
ดังนั้นบางตำแหน่งอาจจะต้องเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นพิเศษเพื่อผลักดันนโยบายของพรรค ซึ่งเชื่อว่าทั้ง 4 ตำแหน่งจะมีความสมดุลเพราะมีทั้งผู้บริหารพรรค มี สส.กระจายตามพื้นที่ ภูมิภาค หรือความรู้ความสามารถที่อาจจะต้องดึงคนนอกเข้ามา
เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวด้วยว่า สำหรับการพูดคุยวันนี้ จะได้มีการนำสื่อสารให้กับ สส.ของพรรคทุกคนทราบ ซึ่งจริงๆ แล้วได้มีการสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดย สส.ทุกคนที่ตนพูดคุยด้วยต่างก็ระบุว่าขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค,หัวหน้าพรรค และเลขาพรรค แต่ผลจะออกมาอย่างไรทุกคนก็เข้าใจ และยืนยันจะทำงานกับพรรคต่อ
นายเอกนัฏ ยืนยันว่าไม่มีความแตกแยกแน่นอน เพราะเรื่องในบ้านมีความเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกคนก็มีความหวังว่าพรรคจะมีความเข้มแข็ง เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่มีใครแตกแถวหรือแตกแยก
“เรื่องงอแง กับเรื่องแตกแยกต่างกัน การงอแงก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่ในบ้านเดียวกัน คนบ่น มีปัญหาชีวิต ผมว่ามีตลอดอยู่แล้ว ผมเป็นแม่บ้านมี สส.36 คนมีปัญหาคนละแบบ ก็มาบ่นกับผมตลอด แต่ไม่ว่าจะมีปัญหาอย่างไร ความคิดเห็นต่างกันอย่างไร ไม่นำไปสู่ความแตกแยกแน่นอน และไม่มีใครแตกออกไปแน่นอน ผมยืนยันได้คุยกับทุกคนแล้วครับ” นายเอกนัฎ กล่าว