วันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายชณทัต ปัทะมะภูวดล สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมการเสวนา ‘กฎหมายการเงินการคลัง’ ซึ่งดำเนินรายการโดยนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
.
นายอรรถวิชช์ ได้เริ่มบรรยายว่าถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศว่า ประเทศไทยเป็นประเทศยากจน ซึ่งวัดจาก GDP แล้วประเทศไทยจะหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างไร ไทยต้องเร่ง GDP ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่าน 4 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนในประเทศ และดุลการค้า
.
หากได้พิจารณาถึงระบบงบประมาณรายจ่ายภาครัฐแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ เกินดุล, ขาดดุล, และสมดุล โดยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดกรอบและกลไกในการบริหารจัดการหนี้ของภาครัฐทั้งหมด ได้บัญญัติไว้ว่า การขาดดุลงบประมาณห้ามเกิน 20% ของประมาณรายจ่ายประจำปี และต้องไม่เกิน 80% ของการชำระหนี้เงินต้น เพื่อควบคุมมิให้รัฐบาลก่อหนี้สาธารณะมากจนเกินไป และเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
.
นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องของดุลการค้า มีปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เกิดจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในปริมาณสูง การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะจึงต้องใช้ความรู้ด้านการค้า และต้องบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ทั้งนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ในยุคปัจจุบัน เราต้องบูรณาการความรู้หลากหลายศาสตร์ ไม่ใช่การเรียนรู้เฉพาะด้าน
.
“จากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการเสนอแก้ไขกฎหมายการล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ ซึ่งในอดีตบุคคลธรรมดาจะต้องยอมรับสถานะล้มละลายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้รับโอกาสในการเข้าสู่กระบวนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งต่างจากนิติบุคคลที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการได้ แต่กฎหมายฉบับใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงนี้ จะเปิดทางให้เกิดการ ฟื้นฟูสถานะ ย่อมจะช่วยให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสที่สองในการดำเนินชีวิต” นายอรรถวิชช์ กล่าว





