วันที่ 2 ตุลาคม 2568 นายวิทยา แก้วภราดัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการปฏิรูประบบราชการตำรวจ ว่า
.
ก่อนอื่นต้องขอบคุณคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่ทำรายงานนี้ขึ้นมา เพราะการปฏิรูปตำรวจถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และที่ผ่านมาก็เป็นปัญหามาตลอด อีกทั้งอาชีพตำรวจยังเป็น 1 ใน 4 อาชีพที่เวลาทำงานไม่แน่นอน อีกทั้งหน้าที่การงานก็ไม่เหมือนอาชีพอื่น ๆ ดังนั้นควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและต้องมีการปฏิรูปองค์กรอย่างจริงจัง
.
อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงการปฏิรูปตำรวจ หลายคนมักนึกถึงระบบอุปถัมภ์ แต่แท้จริงแล้วปัญหาใหญ่ คือ “ระบบการซื้อขายตำแหน่ง” ในองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสำคัญและกังวลมาตลอด โดยตนเคยวิจารณ์เรื่องนี้ และถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ฟ้องมาแล้ว และหากจะปฏิรูปตำรวจโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้ ตนก็คิดว่ายังเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจไม่ลึกซึ้ง
.
อีกประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งปฏิรูปตำรวจ คือ เรื่องการกระจายอำนาจ เพราะขณะนี้อำนาจหลายอย่างกระจุกตัวอยู่ที่ตำรวจ โดยเฉพาะการสืบสวนสอบสวน เห็นได้จากการที่กฎหมายไทยทุกฉบับที่มีโทษทางอาญาจะมีตำรวจกำกับดูแลทั้งหมด ทั้งยังบังคับให้พนักงานสืบสวนสอบสวนต้องรู้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาทุกฉบับ รวมถึงการที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ต้องรับผิดชอบงานอื่น ๆ อีกหลายด้าน เช่น กองปราบปราม, ตำรวจทางหลวง แต่กลับแทบไม่ได้แตะงานสืบสวนสอบสวนเลย ซึ่งทั้งหมดสะท้อนให้เห็นการกระจุกตัวในอำนาจของตำรวจที่ไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องกระจายอำนาจบางอย่าง เช่น อำนาจด้านการสืบสวนสอบสวน ไปให้องค์กรนั้น ๆ เป็นผู้ดูแลและสืบสวนเองโดยตรง เพื่อให้ตำรวจมีหน้าที่และเวลาไปทำงานที่ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
.
นายวิทยา กล่าวต่อว่า การกระจายอำนาจยังส่งผลดีต่อข้าราชการตำรวจ หากเปิดให้มีการรับโอนข้าราชการตำรวจไปสังกัดหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนให้หน่วยงานนั้นโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ข้าราชการตำรวจเติบโตในหน้าที่ได้ดีกว่า ทั้งยังช่วยสร้างผลงานให้หน่วยงานได้ดีกว่าด้วย
.
ทั้งนี้ ตนขอให้กำลังใจคณะกรรมาธิการฯ ในการเดินหน้าศึกษารายงานการปฏิรูปตำรวจต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รอมานาน พร้อมขอให้รายงานนี้เดินหน้าไปถึงการเป็นแผนแม่บทในการปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดีหากสุดท้ายแล้วไม่เสนอให้กระจายอำนาจและไม่ยอมรับว่ามีการซื้อขายตำแหน่งในองค์กรจริง ก็ไม่ต้องพูดถึงการปฏิรูปตำรวจอีกต่อไป
