วันที่ 22 สิงหาคม 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการกำหนดท่าทีการเจรจาการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมภายใต้ FTA ไทย-เกาหลีใต้ และ FTA ไทย-EU และหารือแนวทางการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificated of Origin : C/O) กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และสินค้าสวมสิทธิ์กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 20-1 ชั้น 20 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
.
โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) การบังคับใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และการป้องกันการสวมสิทธิ์ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศที่ยังไม่มีความตกลงการค้าเสรีกับไทย เช่น สหรัฐอเมริกา โดยเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ทั้งในด้านการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ
.
นายเอกนัฏ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการยกระดับและสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ และการคำนึงถึงเกณฑ์การคำนวณมูลค่าการผลิตในประเทศและภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดต่อการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการผลักดันระบบ i-Single Form ที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังพัฒนา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการยื่นคำขอและรับรองเอกสารด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและการผลิต (Local Content) ภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงสินค้าและบริการของผู้ประกอบการไทยให้อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของนักลงทุนทั่วโลกที่ประกอบกิจการในประเทศไทย
.
นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงท่าทีในการเจรจาการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมภายใต้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย–สาธารณรัฐเกาหลี และความตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป (EU-FTA) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าการเจรจาต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ควบคู่ไปกับการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อส่งออก และการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล ภายใต้แนวทางการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนด้วย
