วันที่ 13 สิงหาคม 2568 นายจุติ ไกรฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า
.
ตนเห็นว่าคณะกรรมาธิการที่ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 นี้จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ ความเสี่ยงเสถียรภาพทางการเมือง ความเสี่ยงของประสิทธิผลของรัฐบาล และการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีความอ่อนแอ
.
นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรงบประมาณที่จะส่งผลให้มีความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศในอนาคตจาก รายจ่ายที่สูงเกินความเป็นจริง งบประมาณที่ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ งบผูกพันใหม่ที่สูงถึง 3.5 แสนล้านบาท และงบประมาณขาดดุลเกินมาตรฐานถึง 3 เท่า
.
และคำถามที่สำคัญที่คณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณฯ ต้องตอบให้ได้ คือ ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤติรอบด้าน ทั้งวิกฤติชายแดน วิกฤติจากสงครามทางการค้า วิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ฯลฯ ประเทศไทยเตรียมความพร้อมอย่างไร
.
ธนาคารโลกได้ให้ความเห็นถึง 5 ประเด็นสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นคงด้านทุนมนุษย์, การสร้างสรรค์เศรษฐกิจเชิงนวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน, การพัฒนาอย่างยั่งยืนและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก, การเสริมสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันทางการเงินและการคลังของรัฐ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว
.
หากทำได้ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูงใน พ.ศ.2585
.
นอกจากนี้ทั้งรัฐบาลและกรรมาธิการฯ จะต้องพิจารณาว่างบประมาณถึงมือประชาชนจริงหรือไม่ เพราะในวันนี้เงินอุดหนุนพี่น้องชาวนาจำนวน 1 หมื่นบาทต่อไร่ พี่น้องชาวนายังไม่ได้รับ
.
นอกจากนี้พี่น้องประชาชนยังมีข้อห่วงใยหลายประการ คือ ประการแรก คือห่วงความมั่นคงในด้านอาชีพของตนเอง หรือกลัวว่าจะตกงานหรือไม่ เพราะมีข้อกังวลว่าคนจะตกงานมากถึง 7 แสนคนจากอุตสาหกรรมรถยนต์
.
ประการที่สอง คือ กังวลการทุจริตคอร์รัปชัน ประการที่สาม คือ กังวลในเรื่องความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันของสังคม
.
นอกจากนี้ตนยังมีความกังวลถึงการใช้งบประมาณหลายส่วน โดยเฉพาะการสร้างตึกสำนักงานในวงเงินมากกว่า 3 พันล้านบาท มากกว่าความต้องการของเจ้าหน้าที่ 3 เท่าตัว ในสภาวะที่สวัสดิการมนุษย์เงินเดือนผู้จ่ายภาษียังอยู่ในเครื่องหมายคำถาม เงินอุดหนุนงดเผาฟางข้าวประชาชนยังไม่ได้รับ และวิกฤติหลายประการที่รออยู่
.
ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศและประชาชน
.
“กรรมาธิการฯ และรัฐบาลจะต้องตอบให้ได้ว่าการจัดสรรงบประมาณเป็นแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่ชาวบ้านมือสั้นเอื้อมไม่ถึงงบประมาณหรือไม่” นายจุติ กล่าว
