วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายจุติ ไกรฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
ว่า
.
งบประมาณรายจ่ายประจำปีเราจัดมาได้ 3.78 ล้านล้านบาท เป็นการกู้มากกว่า 8.6 แสนล้านบาท เราจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติหรือไม่ เพราะสงครามการค้ายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง และต้องยอมรับว่าในวันนี้โลกไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะผลกระทบกับประเทศไทย
.
ตนจะต้องตั้งคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า งบประมาณชุดนี้พร้อมหรือไม่ที่จะรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤติภูมิเศรษฐศาสตร์
.
ในขณะที่ภาคเอกชนได้มีการประเมินว่าอุตสาหกรรมการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำที่มีแรงงานมากกว่า 6.6 ล้านคน จะได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดและสินค้า จะมีพี่น้องชาวไทยที่ต้องตกงานประมาณ 1.3 ล้านคน จึงต้องตั้งคำถามว่างบประมาณฉบับนี้เตรียมพร้อมในการรับมือกับวิกฤตเหล่านี้หรือไม่
.
แต่อย่างไรก็ดีต้องขอขอบคุณงบประมาณฉบับนี้ที่มีการเพิ่มเงินลงในกองทุนหลายกองทุน เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา และกองทุน สปสช. ที่เป็นที่พึ่งให้คนยากไร้ ซึ่งแม้จะมีการเพิ่มงบประมาณเหล่านี้ก็ตามคาดว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และต่อการรับมือกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้น
.
สำหรับคำถามของรัฐบาลที่ว่าทำไมนักลงทุนถึงเลือกที่จะมองข้ามประเทศไทย ทำไมจำนวนนักท่องเที่ยวจึงลดลง เพราะสิ่งที่กำลังผลักดันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด สิ่งแรกคือสิ่งที่สภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ได้เตือนไปยังรัฐบาลว่าต้องระมัดระวังวินัยการเงินการคลัง แต่มีการกู้ยืมเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่น ส่งผลไปยัง Moody’s Ratings ที่ประเมินประเทศไทยต่ำลงไปเรื่อย ๆ
.
และสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ได้เตือนเช่นกันว่าให้ระมัดระวังเรื่องของธรรมาภิบาล แต่ก็ไม่มีการระวัง ไม่มีการแก้ไข ทำให้ผู้คนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย จนถึงวินัยของข้าราชการที่มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้รักษากฎหมายมีการรับส่วยจากบ่อนพนันออนไลน์จนมีการไล่ออกจากราชการ และในสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้มีการซักถามถึงงบประมาณที่จะต้องใช้เพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SME พี่น้องเกษตรกร ในวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่มีแนวโมไม่โปร่งใสเนื่องจากมีการให้กลุ่มจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซีกรัฐบาลมากกว่า จะต้องระมัดระวังให้มาก เพราะจะส่งผลกระทบทั้งความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความชอบธรรมทางการเมือง
.
ท่ามกลางการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ กลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มเปราะบาง ที่แม้กระทั่งสิทธิในการรักษาฟรียังไม่เพียงพอ เนื่องจากเราขาดแพทย์มากกว่า 8,000 อัตรา ขาดพยาบาลมากกว่า 13,000 อัตรา แม้กระทั่งงบประมาณในการจัดหายารักษาโรคยังมีการขาดแคลน
.
ในโอกาสนี้ต้องขอขอบคุณตำรวจ ทหาร แพทย์ พยาบาล ครู รวมถึงอาสาสมัครที่มุ่งมั่นทุ่มเทกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปราบปรามยาเสพติด และของเถื่อน และขอประณามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายทุก ๆ คน
.
ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ความน่าสนใจของประเทศไทยในทุก ๆ วันยิ่งต่ำลงเรื่อย ๆ ตนได้ทราบจากตัวแทนของบริษัทประกันภัยระดับโลกว่า ในประเทศไทยประสบปัญหาขาดทุน ทำให้เกิดเบี้ยประกันทุกประเภทแพงขึ้น ร่วมถึงการร่วมจ่ายในประกันสุขภาพ
.
ในเรื่องของธรรมาภิบาลตลาดทุนไทย ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง แต่คดีปั่นหุ้นจำนวนไม่น้อยยังไม่มีการสอบสวนเสร็จสิ้น ไม่มีการลงโทษผู้ที่กระทำความผิดฐานปั่นหุ้น ถ้ายังปิดคดีเหล่านี้ไม่ได้ ความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ในเรื่องวินัยของข้าราชการก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลจะต้องมีการตรวจสอบและเอาผิดโดยเฉพาะในเรื่องทุจริตอย่างเข้มข้น เข้มงวด เพราะหากไม่มีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ปัญหาอื่น ๆ จะไม่สามารถแก้ไขได้เลย
.
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีที่ได้มีความพยายามลดต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชน ในวันที่สินค้าราคาแพงทุกอย่าง โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานที่ลดค่าไฟอย่างต่อเนื่อง และขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรมที่ไปอย่างสุดซอยในเรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม เอาผิดผู้ที่ทำผิดทุก ๆ คน เพื่อกอบกู้ธรรมาภิบาลของประเทศไทย และฝากไปถึงทุก ๆ กระทรวงให้นำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเอาจริงเอาจัง
