วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย พร้อมด้วยนางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเจียง เว่ย อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีนายจู หัวหรง ประธานบริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล และคณะกรรมการบริษัทให้การต้อนรับ ณ โรงงานบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 4 จังหวัดระยอง
.
นายเอกนัฏ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของก้าวสำคัญในการเดินทางสู่อนาคต การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าได้เป็นกระแสนิยมอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนประมาณ 10% ของ GDP ในประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเป็นผู้นำด้านยานยนต์ด้วยความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้เดินหน้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานสะอาด และใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
.
ตนขอบคุณ บริษัท ฉางอาน ออโต้ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน ที่ตัดสินใจเลือกประเทศไทยและลงทุนกว่า 8,800 ล้านบาท ในการตั้งโรงงานแห่งแรกในต่างประเทศ การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์นี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย แต่ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศอีกด้วย นอกจากนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยก้าวสู่อนาคตในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นบรรทัดฐานในระดับโลก ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ยานยนต์ทางเลือกอีกต่อไป รัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ให้พัฒนานวัตกรรมในทุกมิติ และพร้อมสำหรับการส่งออกสู่ตลาดโลก
.
สำหรับโรงงานแห่งนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและกระบวนการทำงานที่ทันสมัยและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดย บริษัท ฉางอาน มีแผนที่จะติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 14 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ถึง 45% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในโรงงาน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยส่วนประกอบที่ส่งเสริมความยั่งยืนอีกมากมาย อาทิ ระบบระบายอากาศหมุนเวียน, ระแนงระบายความร้อน, การใช้แสงธรรมชาติ และระบบรีไซเคิลน้ำฝน คาดว่า จะช่วยลดต้นทุนพลังงานลง 20% นอกจากนี้การเปิดโรงงานยังจะสร้างโอกาสการจ้างงานมากกว่า 30,000 ตำแหน่ง ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่อีกด้วย