วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ครั้งที่ 1 หรือการประชุมบอร์ด AI
.
โดยตนได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นด้วยกับแผนการดึงการลงทุน จำนวน 5 แสนล้านบาท ในระบบ Data Center และ คลาวด์(Cloud) เพื่อเตรียมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน(Readiness) แต่อย่างไรก็ดีควรคำนึงถึงการพ่วงการลงทุน เพื่อให้เกิดห่วงโซ่ธุรกิจใหม่ ๆ ในประเทศไทยไปพร้อมกันด้วย
.
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีข้อเสนอให้พ่วง 4 อย่างอยู่ในข้อตกลงการลงทุน ประกอบด้วย
1.พ่วงการถ่ายทอดเทคโนโลยี(Technology Transfer)
โดยเป็นข้อตกลงว่าบริษัทที่จะลงทุนด้าน Data Center ต้องพ่วงทำศูนย์ Research and Development(R&D), การฝึกอบรมหรือประกอบธุรกิจด้าน Software as a service หรือต้องมีการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย ในการสอน AI, Lab AI หรือร่วมพัฒนาโมเดล AI ภาษาไทย
2.พ่วงโควตาให้สตาร์ทอัพและหน่วยงานไทยได้ใช้ระบบคลาวด์ในราคาพิเศษ
โดยต้องออกแบบ “Cloud Credit Program” ให้สตาร์ทอัพไทยหรือหน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีค่าใช้จ่ายในอัตราที่ต่ำ
3.พ่วง Local Content หรือการใช้ Local Talent ผ่าน 2 เงื่อนไข คือ ให้ผู้ลงทุนใช้วิศวกรหรือทีมซัพพอร์ตจากในประเทศอย่างน้อย 40% และต้องทำให้เกิดการฝึกทักษะและยกระดับบุคลากรในระบบ Ecosystem
4.พ่วงเป้าหมายด้าน Sectoral AI ผ่านการสนับสนุนให้ผู้ลงทุนมีโครงการนำร่อง(Pilot) ร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุข(Healthcare AI), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(Agri AI) และกระทรวงศึกษาธิการ(EdTech AI)
.
นายพงศ์พล กล่าวต่อว่า ที่ต้องวางเงื่อนไขเช่นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้การเป็นศูนย์กลางด้าน Data Center ของประเทศไทยในอนาคตเหลือเป็นเพียงฐานโลจิสติกส์ของข้อมูล และเป็นทางผ่านของบริษัทเอกชนต่างชาติที่หวังเข้ามาใช้พลังงานและทรัพยากรน้ำในไทย และยังได้สิทธิยกเว้นภาษี แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ เลย เหมือน “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ที่ประเทศกำลังเผชิญ และนายเอกนัฏ กำลังเร่งเดินหน้าปราบปรามให้หมดสิ้นอยู่ในขณะนี้
.
นายพงศ์พล กล่าวต่อว่า สำหรับแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเทคโนโลยีหลายอย่างจะมาช่วยแบ่งเบาและพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น เช่น เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ภาพ ที่ใช้กล้องในสายพานการผลิต อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกำลังผลิตและการคัดแยกกากอุตสาหกรรม หรือใช้สำหรับการตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเหมาะกับทั้งบริษัทใหญ่และบริษัท SMEs ด้วย
