วันที่ 9 เมษายน 2568 นายจุติ ไกรฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการส่งออกของประเทศไทย โดยกล่าวว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ ตนขอฝากไปถึงทีมเจรจาที่จะเดินทางไปเจรจากับฝั่งสหรัฐฯว่า สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ คือ ทักษะการเจรจาต่อรอง ที่ไทยต้องไปต่อรองกับชาติที่เป็นมหาอำนาจของโลกในทุก ๆ ด้าน ซึ่งทีมเจรจาของไทยควรอาศัยช่องทางต่อรองทางนิติบัญญัติมาช่วยดำเนินการ และต้องเข้าใจบริบททางสังคมและบริบทระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียมกัน
.
นายจุติ กล่าวด้วยว่า ตนเข้าใจดีว่าการแก้ปัญหาใหญ่เช่นนี้คงไม่สามารถทำได้โดยเร็ว และในช่วงแรกอาจจะเกิดความเสียหายบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนไทยอาจต้องยอมรับ จึงอยากขอให้คนไทยอย่าด้อยค่า อย่าเกลียดชังกันในวิกฤตเช่นนี้ เพราะสิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ ประเทศไทยต้องมาก่อน ทั้งนี้ตนขอยกตัวอย่างว่า ในขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านไทยที่มีเรือดำน้ำ 5 ประเทศ ได้จับมือรวมตัวกันใช้ข้อได้เปรียบที่มีเรือดำน้ำ มีพาณิชย์นาวีมาเป็นข้อต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า การมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย มีอำนาจทางการทหารก็ย่อมสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศตนได้ ซึ่งกรณีนี้กลายเป็นเรื่องที่ย้อนกลับมาสู่ประเทศไทยเองที่ในครั้งหนึ่งที่ประชุมสภาเคยโหวตคว่ำไม่อนุมัติให้กองทัพจัดซื้อเรือดำน้ำ
นายจุติ ย้ำด้วยว่า สิ่งสำคัญของการสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในขณะนี้ คือ อำนาจการต่อรองทางการทหาร ซึ่งปัจจุบันไทยก็ไม่ได้เปรียบ เช่นเดียวกับเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับอำนาจต่อรองทางด้านอื่น ๆ ไทยก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบหรือเป็นผู้นำเช่นกัน ขณะเดียวกันประเทศต่าง ๆ ก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง ต้องพึ่งพิงและแสวงหาพันธมิตรกับประเทศต่าง ๆ ดังนั้นแล้วตนจึงเห็นด้วยว่า ประเทศไทยต้องมีพันธมิตรและมีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ไว้ใจได้ ซึ่งตนขอให้กำลังใจรัฐบาลและทีมเจรจาที่ไปเจรจากับทางสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่
.
“วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สงครามการค้า แต่เป็นการจัดระเบียบดุลอำนาจโลก ดังนั้นไทยต้องมีอำนาจการต่อรองทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ทหาร การทูต และอำนาจต่อรองในฐานะที่เป็นผู้นำอาเซียน” นายจุติ กล่าว