วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงคำร้องยื่นยุบพรรคเพื่อไทยเทียบกับพรรคก้าวไกลว่าไม่ควรมี 2 มาตรฐาน และพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน ต้องตายโดยองค์กรอิสระนั้น ว่า ที่ผ่านมาคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับพรรค การเมือง ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือพรรคนั้น องค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น กกต. ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ ต่างวินิจฉัยบนหลักการกฎหมายตามตัวบททุกประการ ไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกหรือสามัญสำนึกอย่างที่นายพิธากล่าวอ้างพาดพิง ซึ่งหากไม่ได้มีการกระทำความผิดใดๆ ศาลหรือองค์กรอิสระไหนก็เอาผิดพรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนนั้นไม่ได้ การที่นายพิธา พยายามบอกว่าพรรคการเมืองตายเพราะองค์กรอิสระนั้นเป็นคำพูดที่ไม่จริง ซึ่งความเป็นพรรคการเมืองจะคงอยู่ได้ ต้องมาจากการปฏิบัติตามกฎหมาย และการสนับสนุนจากประชาชน ไม่ใช่การนำมวลชนพวกมากลากไปทำตามอำเภอใจ ไม่ยึดกรอบกฎหมาย ดังนั้นพรรคการเมือง จะคงอยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายและการกระทำของตัวเองทั้งนั้น
.
เมื่อถามว่า การเปรียบเทียบคดียุบพรรคการเมืองระหว่างคำร้องของพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้หรือไม่เพราะนายพิธา อ้างว่าก้าวไกลไม่มีโอกาสชี้แจงนั้น นายธนกร กล่าวว่า ในกรณีทั้ง 2 คดีต่างกรรมต่างวาระกัน และพฤติการณ์ไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งในส่วนคดีของพรรคเพื่อไทยต้องมีการไต่สวน ให้ชี้แจงอีกหลายขั้นตอน ส่วนคดียุบพรรคก้าวไกลเป็นการอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลในครั้งแรก ซึ่งชี้ชัดไว้แล้วว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯ จึงไม่ต้องมีการไต่สวนอีก จึงอยากให้นายพิธา หยุดจับคดีนั้นมาเทียบคดีนี้ แถมโยงไปไกลถึงการทำรัฐประหาร ซึ่งทุกกรณีมีข้อกฎหมายเฉพาะตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
.
“อยากเรียกร้องให้นายพิธา ทบทวนแนวคิดเสียใหม่ การพูดในหลักการข้อกฎหมายอย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกมาผสมร่วมด้วย ซึ่งข้อมูลเป็นคนละเรื่อง คนละคดีแต่กลับนำมาผูกโยงกันได้ทั้งหมด แล้วกล่าวหาองค์กรอิสระถือเป็นข้อมูลเท็จ ทำให้ประชาชนสับสนสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงขอให้พี่น้องประชาชนไตร่ตรองก่อนเชื่อข้อมูลข่าวสาร ขอให้มั่นใจว่า หากไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ว่าศาลไหนก็เอาผิดพรรคหรือนักการเมือง และทุกคนไม่ได้“ นายธนกร ย้ำ
.
เมื่อถามว่า การเปรียบเทียบคดียุบพรรคการเมืองระหว่างคำร้องของพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้หรือไม่เพราะนายพิธา อ้างว่าก้าวไกลไม่มีโอกาสชี้แจงนั้น นายธนกร กล่าวว่า ในกรณีทั้ง 2 คดีต่างกรรมต่างวาระกัน และพฤติการณ์ไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งในส่วนคดีของพรรคเพื่อไทยต้องมีการไต่สวน ให้ชี้แจงอีกหลายขั้นตอน ส่วนคดียุบพรรคก้าวไกลเป็นการอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลในครั้งแรก ซึ่งชี้ชัดไว้แล้วว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯ จึงไม่ต้องมีการไต่สวนอีก จึงอยากให้นายพิธา หยุดจับคดีนั้นมาเทียบคดีนี้ แถมโยงไปไกลถึงการทำรัฐประหาร ซึ่งทุกกรณีมีข้อกฎหมายเฉพาะตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้
.
“อยากเรียกร้องให้นายพิธา ทบทวนแนวคิดเสียใหม่ การพูดในหลักการข้อกฎหมายอย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกมาผสมร่วมด้วย ซึ่งข้อมูลเป็นคนละเรื่อง คนละคดีแต่กลับนำมาผูกโยงกันได้ทั้งหมด แล้วกล่าวหาองค์กรอิสระถือเป็นข้อมูลเท็จ ทำให้ประชาชนสับสนสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงขอให้พี่น้องประชาชนไตร่ตรองก่อนเชื่อข้อมูลข่าวสาร ขอให้มั่นใจว่า หากไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ว่าศาลไหนก็เอาผิดพรรคหรือนักการเมือง และทุกคนไม่ได้“ นายธนกร ย้ำ