‘อนุชา บูรพชัยศรี’ เปิดเผย กมธ.การคมนาคม เชิญ กรมการขนส่งทางบก ให้ข้อมูล เหตุสลดรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ จี้หาที่มาถังก๊าซ NGV 5 ใบ พบเกินกว่ามาตรฐาน หากพบมีความผิดตรงไหน ดำเนินการไม่ละเว้น
.
นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะ กรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวถึงกรณีเหตุสลดเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี พบว่ารถบัสคันดังกล่าวมีการติดตั้งถังก๊าซ NGV เกินกว่าที่ขออนุญาตการติดตั้งไว้ เพียง 6 ถัง โดยเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีถึง 11 ถัง ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการคมนาคมฯ ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก ได้มีการชี้แจงว่า อยู่ในช่วงการค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด ในส่วนการติดตั้งถังก๊าซ NGV นั้น ช่วงเวลาการดำเนินการเป็นอย่างไร และในขณะปัจจุบัน ข้อมูลที่มีเป็นอย่างไรบ้างนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
.
สำหรับข้อมูลในเบื้องต้น รถบัสคันดังกล่าว มีการจดทะเบียนรถโดยสารส่วนบุคคลครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2513
.
นายอนุชา กล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากนั้น มีการจดทะเบียนรถโดยสารส่วนบุคคลใหม่อีกครั้ง ในเดือนตุลาคม 2561 ในการจดทะเบียนรถโดยสารส่วนบุคคลใหม่ ได้มีการแจ้งในการดัดแปลงโครงคัสซี เปลี่ยนแปลงสัดส่วนจำนวนที่นั่ง ดัดแปลงตัวถังรถ แต่ไม่มีข้อมูลในการแจ้งเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติม
.
ตามข้อมูลที่รายงานของกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ในการตรวจสอบครั้งหลังสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 รถบัสคนดังกล่าวผ่านการตรวจสอบ รวมทั้งผ่านการตรวจสอบในเรื่องของการติดตั้งถังก๊าซ NGV
.
ทั้งนี้ นายอนุชา ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามมาตรฐานในการติดตั้งถังก๊าซ NGV สามารถติดตั้งได้สูงสุดจำนวน 6 ถัง แต่การตรวจสอบรถบัสคันที่เกิดเหตุ พบว่าติดตั้งถังก๊าซ NGV เกินกว่าที่มาตรฐานได้กำหนดไว้ ดังนั้นต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า จำนวนทั้งก๊าซ NGV ที่เกินมานั้น มีการตรวจพบแล้วตั้งแต่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หรือมีการลักลอบติดตั้งภายหลังการตรวจสภาพหรือไม่ เป็นหน้าที่ของ กรมการขนส่งทางบก ซึ่งร่วมมือกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันตรวจสอบในรายละเอียดส่วนนี้
.
ต่อข้อสังเกตของสังคม ที่ว่า การรับจดทะเบียนรถโดยสารส่วนบุคคลคันดังกล่าว เป็นการจดทะเบียนผิดประเภท เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งยังมองว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปให้ความร่วมมือ ในประเด็นนี้ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
.
นายอนุชา บอกว่า ตามการชี้แจงของกรมการขนส่งทางบก ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า ใครเป็นผู้ที่ดำเนินการอนุมัติการจดทะเบียนรถโดยสารส่วนบุคคลของรถบัสคันดังกล่าว และใครเป็นการผู้ออกเอกสารที่ไม่ถูกต้องให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งในที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้กล่าวชัดเจนว่า การตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นของคณะกรรมาธิการฯ การตรวจสอบของทางรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเพิกเฉยต่อความรับผิดชอบไม่ได้ ซึ่งในทางปฏิบัติ การตรวจสอบสภาพรถ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต ต้องดำเนินการ ทุกจุด ทุกเรื่อง ทุกขั้นตอนในการอนุญาต หากพบว่าผิดตรงส่วนไหน ก็ต้องดำเนินการจัดการในส่วนนั้นไม่มีข้อยกเว้น
.
ในขณะนี้มีการดำเนินการพักใบอนุญาตประกอบการของบริษัทเจ้าของรถบัสที่ก่อเหตุ ซึ่งพบว่ามีรถลักษณะเดียวกันนี้จำนวน 2 คัน โดยมีผลให้ไม่สามารถนำไปใช้งานบนท้องถนน หรือไปรับงานบริการใดๆได้
.
ทั้งนี้ นายอนุชา ได้เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ กระทรวงคมนาคม ได้ออกคำสั่ง ให้รถโดยสารสาธารณะ ทั้งประจำทาง และไม่ประจำทาง ที่ติดตั้งเชื้อเพลิงในลักษณะเดียวกัน ทั้งหมด 13,426 คัน ทั่วประเทศ เข้ามารับการตรวจสอบสภาพถังก๊าซ NGV ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศภายใน 60 วัน มาตรการต่อไป จะมีการทบทวนมาตรฐานการประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารไม่ประจำทางทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการประกอบการขนส่ง สภาพรถ การให้การบริการ รวมทั้งข้อสั่งการเพิ่มเติมของกระทรวงคมนาคม จากนี้ไปรถโดยสารไม่ประจำทาง จะต้องมีพนักงานประจำรถ เพื่อช่วยกำกับดูแล อำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยแก่พี่น้องประชาชน
.
ส่วนประเด็นของการนำรถเก่ามาดัดแปลงสภาพใหม่สามารถทำได้หรือไม่ นายอนุชา เปิดเผยว่า สามารถทำได้ตามระเบียบมาตรฐานความปลอดภัยของกรมการขนส่งทางบก หรือในส่วนของบุคคลที่มีการจัดการด้านการขนส่งของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถเรียกบุคคลในหน้าที่ส่วนนี้มาสอบถามการดัดแปลงเพิ่มเติม นอกเหนือจากการแจ้งไว้กับทางกรมการขนส่งทางบกหรือไม่ หรือมีการไปดำเนินการเพิ่มเติมกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ สำหรับข้อมูลต่างๆ ทางกรมการขนส่งทางบกจะนำมาแจ้งต่อคณะกรรมาธิการการคมนาคมในสัปดาห์หน้า
