“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” โชว์วิสัยทัศน์ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” ผ่าน 3 ภารกิจเร่งด่วน ช่วยภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมปกป้อง SME ไทยให้อยู่รอดจากการทุ่มตลาดของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ย้ำชัด จะลุยกำจัดขยะอุตสาหกรรม และกากสารพิษ บนจุดยืน “ทำทันที ทำทุกวินาที และจะไม่ยอมจนกว่าจะทำสำเร็จ”
.
วันที่ 13 กันยายน 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงในการอภิปรายการแถลงผลงานต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรีว่า ขอบคุณสำหรับข้อมูล คำแนะนำ รวมถึงข้อห่วงใยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของประเทศไทย สำหรับตนนั้นการที่ประเทศเสียโอกาส และการแก้ไขปัญหาของประเทศเป็นสิ่งที่รอไม่ได้
.
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจาก Aging Society ที่ทำให้สูญเสียศักยภาพในการผลิต, AI Disruption, สิ่งแวดล้อม, สงครามภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามทางการค้า และสงครามดั้งเดิม
.
หากอุตสาหกรรมไทยไม่ปรับตัว ประเทศไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจ และท้ายที่สุดหากไม่ปรับตัวให้เร็วจะกลายเป็นวิกฤตอุตสาหกรรมไทยในอนาคต
.
แต่อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมไทยไม่ได้ย่ำแย่ และมืดมิดไปเสียทุกด้าน เพราะท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาส ซึ่งโอกาสนี้อุตสาหกรรมไทยสามารถเก็บเกี่ยวได้หากตั้งใจที่จะปรับตัว
.
สิ่งแรกที่ได้แลกเปลี่ยนกับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม คือ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เป็นการปรับตัวเพื่อไขว่คว้าโอกาสที่เกิดขึ้น เร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม และเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานให้กับอุตสาหกรรมไทย
.
“ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้น เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยสามารถคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาให้ได้ หลังจากการเก็บเกี่ยวเอาโอกาสเหล่านี้ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมไทยได้แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอเพราะมีความเสี่ยงอย่างยิ่งว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะตกอยู่กับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่จะนำโอกาสเหล่านี้ ส่งต่อไปยังวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หรืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นการปกป้องรักษา SME ไทย ที่กำลังได้รับผลกระทบอยู่ในตอนนี้”
.
นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่มีความจำเป็นที่จะช่วยให้ SME ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผ่านการลดต้นทุนให้ SME เพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ต้องปกป้องจากธุรกิจสีเทาที่ฉกฉวยโอกาสจากช่องโหว่ของกฎหมาย มีพฤติกรรมบิดเบือนตลาดและพฤติกรรมทุ่มตลาดให้ได้อย่างเด็ดขาด
.
โดยกระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภา SME กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน BOI รวมทั้งจะร่วมมือกระทรวงการคลัง ป้องกันไม่ให้สินค้าไทยถูกเอาเปรียบจากพฤติกรรมการทุ่มตลาดที่เป็นการบิดเบือนกลไกของตลาด ไม่ใช่แค่ควบคุมมาตรฐานสินค้า แต่ต้องมีมาตรการทางภาษีควบคู่ไปด้วย
.
ส่วนปัญหามลพิษ แม้ไม่ใช่ภารกิจโดยตรงของกระทรวงฯ แต่ภาคอุตสาหกรรมในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตมลพิษ และในฐานะที่ตนเป็นหนึ่งใน สส. เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย ขอเรียนกับประชาชนว่าอะไรที่สร้างปัญหาและทำร้ายพี่น้องประชาชน ตนจะติดตามอย่างใกล้ชิดและจริงจัง
.
“วานนี้ในช่วงเช้าที่ตนได้เข้าไปยังกระทรวงฯ ในช่วงบ่ายก็ได้เดินทางไปยังโรงงานที่ทิ้งกากพิษอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยองทันที พร้อมกับประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะต่อสู้กับกลุ่มธุรกิจที่ไม่มีความรับผิดชอบ กลุ่มธุรกิจที่หากินบนความเดือดร้อนของประชาชนจากกากพิษเหล่านี้ ถ้ามีผู้มีอิทธิพล หรือมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ท่านจะต้องสู้กับผมอย่างแน่นอน”
.
นายเอกนัฏ ยังได้ย้ำว่า ทั้งหมดที่กล่าวมาระบุในนโยบายของรัฐบาลแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือความชัดเจน และจริงจังที่จะทำตามนโยบาย ซึ่งในการเข้ากระทรวงฯวันแรก สิ่งที่ตนได้ทำคือการเขียนข้อความบันทึกลงกระดาษเป็นคติเตือนใจในการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นั่นก็คือ การต่อสู้กับกากพิษ ขยะอุตสาหกรรม เร่งคืนน้ำที่สะอาด คืนอากาศที่บริสุทธิ์ การปกป้อง SME ไทย และการปฏิรูปอุตสาหกรรม และขอยืนยันว่า จะทำทันที ทำทุกวินาที และจะไม่ยอมจนกว่าจะทำสำเร็จ