“วิทยา แก้วภราดัย” สส.รวมไทยสร้างชาติ เรียกร้องกระทรวงการคลังทบทวนวิธีการขึ้นบัญชีดำเครดิตบูโร “ประชาชน-ภาคธุรกิจ” เสียใหม่ ย้ำถ้ายังใช้วิธีแบบปัจจุบัน จะผลักไสให้คนหันไปกู้หนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้น มหาดไทยก็แก้ปัญหาไม่ได้
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่รัฐสภา นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2567 โดยเกริ่นนำว่า ติดใจในมาตรา 2 ของ พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ระบุมีผลบังคับวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ 2566 เป็นต้นไป แต่ตนได้รับเอกสารงบประมาณปลายเดือนธันวาคม หลังพ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ตนเชื่อว่าทุกคนรู้ดี งบประมาณปีนี้ มีความล่าช้ากว่าปกติ เวลาการใช้จ่ายงบประมาณเหลืออยู่สั้นมาก จากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณา ถ้ากรรมาธิการฯเร่ง ให้เสร็จก่อนสงกรานต์ จะทำให้ประชาชนได้เห็นผลงานที่รัฐบาลอยากทำในพื้นที่ แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่ที่การเตรียมพร้อมของรัฐบาลด้วย
นายวิทยา กล่าวว่า ตนได้ฟังนายกรัฐมนตรีแถลง ได้รายงานจนถึงการวิเคราะห์ของสภาพัฒน์ฯ ที่ประเมินเศรษฐกิจปี 2567 คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.7 มีปัจจัยสนับสนุนหลักคือ การขยายตัวของภาคการส่งออก การอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่ยังมีข้อจำกัด และปัจจัยเสี่ยงจากการลดลงของแรงขับเคลื่อนด้านการคลัง ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจ ยังอยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากภัยแล้งต่อผลผลิตภาคการเกษตร และความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ฝนจะแล้งฝนจะตกรัฐบาลคงเข้าไปแทรกแซงยาก อย่างเก่งก็ใช้งบช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจจะพลิกขึ้นพลิกลงเรามีผลน้อยมาก แต่ 2 เรื่องที่เราสามารถใช้งบประมาณเข้าไปช่วยในการลดความเสี่ยงได้ คือ 1.ลดความเสี่ยงแรงขับเคลื่อนด้านการคลัง มาวันนี้งบลงทุนในปี 2567 ยังไม่ใช้เลยแม้แต่บาทเดียว ยังเหลือเวลาอีกไม่มา มีสมาชิกได้เสนอแนวทางให้กับรัฐบาลแล้วคือ จำเป็นต้องใช้วิธีอย่างรวดเร็วในการจัดการกับงบประมาณ เช่น แก้ระเบียบเพื่อให้การใช้งบประมาณบรรลุได้ภายใน 6 เดือน ถ้ารัฐบาลสามารถเร่งการใช้จ่ายงบประมาณกว่า 710,000 ล้านเศษให้แล้วเสร็จภายใน 4-5 เดือน ตนเชื่อว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้การคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯไม่คลาดเคลื่อนเผลอๆ ตัวเลขอาจจะขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
นายวิทยา กล่าวว่า ในเรื่องที่ 2.ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจยังอยู่ระดับสูง จนเห็นความตั้งใจของรัฐบาล โดยเฉพาะรมช.มหาดไทย ที่ออกไปสู้รบกับหนี้นอกระบบ แต่ปัญหาไม่ได้เกิดจากหนี้นอกระบบลอย ๆ หนี้สินนอกระบบที่เกิดขึ้นมากที่ผ่านมาจากโควิด ทำให้ทั้งภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจมีปัญหาด้านการเงิน ตัวปัญหาที่ทำให้เกิดหนี้นอกระบบมาก คือ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ รมช.มหาดไทยจะออกไปสู้รบเรื่องหนี้นอกระบบมากเท่าใดก็ตาม แต่ถ้าเครดิตบูโรยังประกาศทุกวันว่า ใครไม่มีเครดิตในการกู้ยืม ลูกหนี้ผิดนัดชำระ 7 วัน ผิดนัดชำระ 1 เดือนพอถึง 3 เดือนเมื่อไหร่ กลายเป็นลูกหนี้ที่เลวร้ายถูกขึ้นบัญชี แม้เดือนที่ 4 จะเอาเงินไปชำระแล้ว แต่ลูกหนี้ยังอยู่ในบัญชีของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เป็นลูกหนี้ที่ต้องแขวนชื่อไว้ 3 ปีเต็มถึงจะปลดหนี้ได้
“กระทรวงการคลังต้องหันกลับไปทบทวนการขึ้นบัญชีดำกับประชาชนและภาคธุรกิจ ที่ต้องหันไปใช้เงินนอกระบบ ไม่เช่นนั้นแล้วกระทรวงมหาดไทย จะแก้หนี้นอกระบบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติยังไล่ลูกหนี้ไปอยู่นอกระบบเพิ่มขึ้นทุกวัน”นายวิทยากล่าว
สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า เรื่องที่ 3 การที่รัฐบาลให้ความสำคัญในด้านความมั่นคง รัฐบาลบอกว่าจะดูแลปัญหาผลกระทบด้านยาเสพติด โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ผู้เสพให้เป็นผู้ป่วยเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถามสส.ที่อยู่ในสภาฯใครที่อยู่ชนบทมีหมู่บ้านไหนบ้างที่ไม่มีผลกระทบกับยาเสพติด เราปราบกันมากจับกันหนักแต่ตัวเลขวันนี้ในเรือนจำเรามีพื้นที่ขังนักโทษได้ 200,000 คน แต่เรามีผู้ต้องขังขณะนี้ 370,000 คนในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องขังติดยาเสพติด 70% ถ้ารัฐบาลแก้ปัญหายาเสพติดเอาผู้เสพเป็นผู้ป่วยได้เมื่อไหร่ เรือนจำจะว่าง ไม่จำเป็นต้องสร้างเพิ่ม จะมีผู้ต้องขังที่ออกจากเรือนจำทันที 200,000 คน ในฐานะที่รัฐบาลจะรับเป็นผู้ป่วยเข้ารักษายาเสพติด
“ข้อเท็จจริงเราเขียนกฎหมายให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วย แต่ถึงวันนี้ระบบรักษาผู้ป่วยจากยาเสพติดยังไม่มี เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องระดมความคิดระหว่างกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงกลาโหม เพราะมีข้อเท็จจริงจากผู้ที่ติดยาเสพติดจากเรือนจำ เขาพูดตรงกัน ถ้าเรือจำไหนไม่มียาเสพติดไปขาย นักโทษในเรือนจำเลิกยาได้หมด ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจำนวนมาก วันนี้เราเสียคนหนุ่มสาวไปกับยาเสพติดจำนวนมาก ผมขอให้กำลังใจในทิศทางที่รัฐบาลได้แถลงต่อสภา และเชื่อมั่นว่า ในชั้นกรรมาธิการจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ให้สำเร็จ”นายวิทยากล่าว