Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the happy-elementor-addons domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /var/www/vhosts/unitedthaination.or.th/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6114

Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the neve domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. โปรดดู การแก้ข้อผิดพลาดใน WordPress สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม (ข้อความนี้ถูกเพิ่มมาในรุ่น 6.7.0.) in /var/www/vhosts/unitedthaination.or.th/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6114
“วิทยา แก้วภราดัย” ชี้แค่ติดกระดุมเม็ดแรกก็ผิด หลังสมาชิกเสนอปฏิรูปตำรวจ - พรรครวมไทยสร้างชาติ
Skip to content
Home » “วิทยา แก้วภราดัย” ชี้แค่ติดกระดุมเม็ดแรกก็ผิด หลังสมาชิกเสนอปฏิรูปตำรวจ

“วิทยา แก้วภราดัย” ชี้แค่ติดกระดุมเม็ดแรกก็ผิด หลังสมาชิกเสนอปฏิรูปตำรวจ

วิทยา แก้วภราดัย” ชี้แค่ติดกระดุมเม็ดแรกก็ผิด หลังสมาชิกเสนอญัติติด่วนปฏิรูปตำรวจ แต่กลับต้องการแค่อภิปรายแล้วส่งให้รัฐบาล ระบุการปฏิรูปที่แท้จริงต้องเริ่มที่สภาฯ เพราะเป็นผู้ออกกฏหมายเพื่อควบคุมดูแลความเรียบร้อยหลายฉบับ แต่กลับไปให้อำนาจตรวจจับกุมได้หมดจนกลายเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่เกินไปจนเกิดปัญหา

เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายวิทยา แก้วภราดัย สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฎรร่วมกันเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ตนรู้สึกยินดีที่สภาฯได้ทำเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชนจริงๆ มาอภิปรายแม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มั่นใจว่าญัตติด่วนนี้จะได้รับการพิจารณาหรือไม่ เพราะสภาฯ เป็นที่ๆ ที่ประชาชนฝากความหวังไว้ ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงก่อนฤดูโยกย้ายในเดือนกันยายน ในวงการข้าราชการ และวงการตำรวจจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นเสมอแต่ปีนี้เกิดขึ้นเร็ว โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมที่เกิดตั้งแต่ปลายน้ำ สิงหาคมกรมราชทัณฑ์ก็มีเรื่องจนเซ จนมาถึงเดือนกันยายนก็เกิดโศกนาฏกรรมในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงตายต่อหน้าเพื่อนๆตำรวจนับสิบคน ไม่มีใครชักปืนขึ้นมาป้องกันเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทั้งเหตุยังเกิดในบ้านผู้มีอิทธิพลจนกลายเป็นข่าวดัง เพราะเรื่องนี้ใครก็ยอมไม่ได้เพราะเป็นศักดิ์ศรีของบ้านเมือง

นายวิทยากล่าวต่อว่า ต่อมาเริ่มมาวันจันทร์ที่ 25 กันยายนที่ผ่านมาก็เกิดเหตุค้นบ้านรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพร้อมจับควบคุมตัวลูกน้องอีก 7-8 คนจากข้อหาไปเกี่ยวข้องกับขบวนการที่เรียกว่าสีเทา ในกระบวนการหวย กระบวนการบ่อนที่ปราบปรามกันไม่รู้จบสิ้น และวันนี้ก็กลับกลายเป็นเหมือนตำรวจเป็นเจ้ามือเอง จึงมีปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมที่ตอนนี้พูดเรื่องปฏิรูปกันมาก แต่ต้องพิจารณาว่าจริงๆ แล้วหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติคืออะไร ตำรวจคือกองกำลังความมั่นคงภายในประเทศที่ถืออาวุธอยู่มากที่สุดในประเทศนี้ ไม่มีหน่วยราชการไหนที่ดูแลความมั่นคงภายในประเทศและถือปืนอยู่มากเท่าตำรวจ ตนเรียนกฎหมายอาญาที่เรียนกัน 2 ปีกฎหมาย และกว่าจะออกมาประกอบอาชีพนักกฎหมายก็ต้องไปเรียนรู้กันทั้งหมดและตำรวจประเทศไทยถือกฎหมายมากกว่านักเรียนกฎหมายเป็นร้อยเท่า

นายวิทยากล่าวด้วยว่า กฎหมายทุกฉบับที่มีโทษทางอาญาขึ้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจกลายเป็นผู้มีอำนาจที่ถืออาวุธในการรักษาความสงบ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีอำนาจจับกุมคนที่มีโทษทางอาญาทุกกฎหมายทุกฉบับ ไม่ว่ากฎหมายสรรพากร กฎหมายสรรพสามิตร กฎหมายลิขสิทธิ์ หรือกฎหมายอะไรก็ตามที่มีโทษทางอาญา ตำรวจสามารถบุกจับได้หมด เช่น เมื่อมีการพูดเรื่องสถานบันเทิง เพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านอภิปราย ตนก็เห็นใจเพราะอยู่ในวงการบันเทิงที่ต้องปิดก่อน 3-4 ทุ่ม เนื่องจากตำรวจจะเวียนมาตรวจหากเปิดเกิน 5 ทุ่มเกินเที่ยงคืนก็จะถูกตำรวจจับ ทั้งๆที่กฎหมายเหล่านั้นออกกฎหมายจากสภาฯ แห่งนี้ไม่ได้ให้ตำรวจไปใช้ แต่ต้องการให้ฝ่ายปกครองไปดูความเรียบร้อยเรื่องสถานบริการ สภาฯ ออกกฎหมายสรรพสามิตเพื่อไปดูเรื่องการจัดเก็บภาษี แต่ถึงเวลาจริงๆ คนที่เดินเก็บตามร้านเหล้ากลายเป็นอาชีพตำรวจ หรือเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า แม้จะพูดกันมากในสภาฯ ออกกฎหมายเพื่อให้สรรพสามิตไปดูแลแต่ถึงเวลาจริงๆ ที่จังหวัดบ้านตนเปิดตู้ขายบุหรี่เถื่อนกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถามว่าใครดูแล เพราะว่ากฎหมายทั้งหมดได้ถูกยัดไปไว้ในมือตำรวจจึงทำให้ ตำรวจเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจใหญ่มาก สามารถจับเองโดยอำนาจกฎหมายทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพนันที่ฝ่ายปกครองควรดูแลตำรวจก็จับเอง จับเสร็จสอบสวนเอง นอกจากนี้ยังจะเจอหลายเรื่อง ตอนนี้ต้องลุ้นว่าที่จับกันอยู่ใครจะหลุด ใครจะปล่อย ตนคิดว่าที่ต่อยกันอยู่ตอนนี้เป็นมวยต้ม และจะต่อยได้กี่ยก เพราะเคยทำกันมาอย่างนี้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คดีนี้ไม่ใช่คดีแรกแต่เกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

นายวิทยากล่าวต่อว่า ในฤดูการแต่งตั้งโยกย้าย ตนเคยถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทหลังจากพูดว่ามีการซื้อขายตำแหน่งเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งกัน หลังสอบไปสอบมาคนที่สอบตนก็พึมพำเบาๆ ว่าเตรียมเงินไว้จะขึ้นผู้กำกับไม่รู้ได้หรือเปล่า คนที่สอบตนพูดแบบนี้ก็ยังเตรียมเงินกันไว้ ผลสุดท้าย สอบไปสอบมาส่งสั่งฟ้องตนไปที่อัยการ อัยการสั่งไม่ฟ้อง ส่งต่อไป เพราะ คสช.แก้กฎหมายว่ากรณีที่พนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการความเห็นไม่ตรงกันให้ส่งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชี้ขาด ตอนนี้เรื่องเลยไปค้างอยู่ที่เดิมกับคนที่แจ้งความตนจนขณะนี้เรื่องไม่รู้อยู่ตรงไหน

ดังนั้นหากจะปรับปรุงจริงๆ ตนเห็นด้วย คิดถึงเรื่องปฏิรูปตำรวจไม่เป็นเรื่องที่เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่พูดกันมาจนโดนคดีไปหลายคนแล้ว สภาฯเป็นคนออกกฎหมาย ตนเริ่มต้นตั้งใจว่าถ้าจะตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาเพื่อดูแลการขัดแย้งในวงการตำรวจและนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน ปรากฏว่าผู้เสนอญัตติทั้งหมดกลับเพียงขอแค่ว่าได้พูดในสภาฯ แล้วก็ส่งให้รัฐบาลเท่านั้น ตนจึงคิดว่าทำไม เพราะการออกกฎหมายเป็นอำนาจของผู้ทุกคนในสภาฯ นี้ แต่กลับฝากความหวังไว้ทั้งหมดกับรัฐบาล แล้วคิดว่าแค่ได้พูดก็จบ จะไม่มีการเริ่มต้นกับเรื่องปฏิรูปตำรวจอย่างแท้จริง ทั้งที่พูดกันมานาน ตอนนี้พลตรีขึ้นพลเอกใช้เวลา 4 ปี 5 ปีเป็นได้หมด

“ท่านเคยเห็นวันที่ประเทศไทย พลตำรวจเอกต้องยืนทำความเคารพ พลตำรวจตรี ไหมครับ มันอยู่ที่ว่าพลตำรวจตรีเด็กใคร ถ้าเด็กใครมันก็ใหญ่กว่าพลตำรวจเอก ถ้าพลตำรวจตรีใหญ่กว่าพลตำรวจเอก คนที่อยากย้ายไม่ต้องไปหาพลตำรวจเอกครับเขาก็ไปหาพลตำรวจตรีกันทั้งนั้น ไปถามดู ในวงการตำรวจก็เป็นอย่างนี้ จ่ายสตางค์ไปแล้ว พอไม่ได้มาร้องเรียนพวกผม พอพวกผมออกไปสู้ คนข้างหลังหายหมด เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อ ที่ท้ากันวันต่อวันว่าใครพูดมาจะฟ้อง ผมว่ามวยต้มทั้งนั้น สุดท้ายเมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วจะไปว่าใคร เพราะทุกคนที่มาเข้าแถวทั้งหมดวิ่งข้ามหัวเพื่อนมาทั้งนั้น” นายวิทยากล่าว

นายวิทยากล่าวตอนท้ายว่า ดังนั้นการที่ออกมาพูดในสภาฯ กันวันนี้คิดว่าดี เป็นการพูดกันให้ประชาชนได้ยินว่าสภาฯ นี้สนใจ รู้ว่าการกระทำของตำรวจเริ่มไม่ชอบมาพากล เรื่องที่หนึ่งคือไปยิงกันตายต่อหน้าด้วยกันเองทำไมไม่ช่วยกัน นักเลงเขาไม่นับถือกัน อย่าว่าแต่ตำรวจ มากินเหล้าพร้อมกันเพื่อนในวงโดนซ้อมตายคาที่วิ่งหนีกันทั้งวงอย่างนี้คบไม่ได้ เรื่องที่สองคือ พอตำรวจจับตำรวจกลายเป็นว่า ตำรวจเป็นนายบ่อน ดังนั้นตนจึงเห็นเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านที่อภิปรายว่าต้องปฏิรูปตำรวจ แต่เสียดายที่ติดกระดุมเม็ดแรกก็ผิด กระดุมเม็ดแรกอภิปรายเรื่องปฏิรูปตำรวจแต่กลับส่งเรื่องปฏิรูปตำรวจไปให้รัฐบาล ทั้งที่จริงจะต้องปฏิรูปที่สภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้จึงเหมือนกับการเริ่มต้นติดกระดุมเม็ดแรกผิดทุกอย่างก็ผิดไปหมด

 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า