Skip to content
Home » “วิทยา แก้วภราดัย” อภิปรายจี้”พิธา”ทบทวนแก้มาตรา 112

“วิทยา แก้วภราดัย” อภิปรายจี้”พิธา”ทบทวนแก้มาตรา 112

วิทยา แก้วภราดัย” อภิปรายจี้”พิธา”ทบทวนแก้มาตรา 112 ระบุเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองที่คนเกือบทั้งสภาติดใจในเรื่องเดียวกัน ซัดอย่ามาข่มขืนสภาให้คล้อยตาม

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ห้องประชุมรัฐสภา นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)อภิปรายระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือก นายกรัฐมนตรีว่า มาถึงเวลานี้ฝ่ายที่ร่วมกันทั้งหมด ไม่ว่าวุฒิสมาชิก 10 พรรคที่เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน รวมทั้ง 7 พรรคที่เตรียมเป็นรัฐบาล มีความคิดเหมือนกันหมดว่า วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ไม่อยากแตะมาตรา 112 รัฐบาล 8 พรรค ก็มีพรรคเดียวที่อยากแตะ ส่วนอีก 7 พรรคก็ยืนยันในหลักการว่าไม่อยากแตะ มาทาง 10 พรรคที่เตรียมเป็นฝ่ายค้าน ทั้งหมดคิดเหมือนกันหมด เราไม่อยากให้แตะต้องมาตรา 112 มันก็เลยเกิดคำนิยามว่า ความไม่ปกติทางการเมือง

นายวิทยา อภิปรายว่า ประธานสภานึกออกหรือไม่ความไม่ปกติทางการเมืองไปอยู่ตรงไหน เราเลือกตั้งมาตั้งแต่เป็นประชาธิปไตย 2475 เปลี่ยนแปลงมา ท่านประธานสภาฯก็ผ่านการเลือกตั้งมาเป็น 10 กว่าสมัย ตนก็ร่วม 10 กว่าสมัยเคยเห็นการเลือกตั้งที่ชูนโยบายอย่างนี้ไหม มันเป็นความไม่ปกติ วันที่พรรคการเมืองพรรคเดียว เสนอนโยบายในการที่จะแก้มาตรา 112 ตนไม่อธิบายความลงในรายละเอียดเพราะฟังมาทั้งวันแล้ว

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ในสภาฯ เรามี 18 พรรคการเมือง 17 พรรคการเมืองไม่เอาด้วย บวกกับวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ก็มีท่าทีไม่เอาด้วย ความไม่ปกติที่เกิดขึ้น รู้สึกไหมว่าใครไม่ปกติ ตนคิดว่าต้องทบทวนใหม่ว่าที่อภิปรายทั้งหมดไม่มีใครติดใจนายพิธา แต่ติดใจนโยบายพรรคการเมืองของพรรคก้าวไกล ที่กล้าประกาศเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นครั้งแรกเลย แล้วกลับมาเรียกร้องว่าคนอื่นผิดปกติหมด รัฐธรรมนูญผิดปกติ ส.ว.ผิดปกติ เรียกร้องให้คนอื่นเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ตัวเองมี 14 ล้านเสียงแล้วก็คลุมทั้งหมด อีก 17 พรรคการเมืองคงไม่เอาด้วย ทบทวนตัวเองหน่อยได้ไหมว่าติดขัดอะไรที่นายพิธาโดนตั้งแต่เช้าจนเย็น อันนี้ยังไม่ได้พูดถึงคุณสมบัตินายพิธา เขาพูดเรื่องนโยบายเรื่องเดียว ดังนั้นควรจะปรับปรุงให้มันปกติก็ต้องปรับปรุงให้ถูกที่ว่า มันไม่ปกติตรงไหน

” การเมืองเราผ่านมาเกือบ 80 ปีในระบบประชาธิปไตยเลือกตั้งมา 10 กว่าครั้งจะเปลี่ยนแปลงแบบไหนก็ตาม จะปฏิวัติก็ตาม แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สภาฯ มาถกเรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วก็ติดใจเรื่องนี้เรื่องเดียวแต่คนที่มีเสียงที่อ้างว่า 14 ล้านเสียงน้อยกว่าทั้งสภาฯ นี้ทั้งหมด กลับมาข่มขืนสภาฯ เอาไปคล้อยตามตัวเอง นี่เป็นความไม่ปกติ จะทบทวนเสียใหม่สักเรื่องได้หรือไม่ ผมคิดว่าทุกอย่างก็จะดีขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่หนักใจเฉพาะฝ่ายค้านหรือประชาชนหรือ ส.ว. พรรคที่ไปร่วมรัฐบาล 8 พรรค เขาก็หนักใจ ตกลงกันแล้วไม่ยุ่งเรื่องนี้แต่ขอทำส่วนตัว แล้วจะอยู่ปกติสุขได้ยังไง ” นายวิทยากล่าว

นายวิทยาอภิปรายต่อว่า ขณะที่ตัวเองไม่ปกติ มาข่มขืนคนอื่นให้คล้อยตามตัวเอง ตนคิดว่าเป็นตรรกะที่อธิบายยาก ถ้าเป็นเช่นนี้ตนก็อยากให้นายพิธาขึ้นตอบเพื่อทบทวน อีกก้าวเดียวถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว นายพิธาก็รู้ว่าติดเรื่องอะไร แล้วทุกคนในสภาฯนี้ก็รู้ สังคมก็รู้ว่าติดเรื่องอะไร ขยับก้าวนั้นเสียได้ไหม มีนโยบาย 300 กว่าข้อ ที่เขียนไว้ ทิ้งหมด ติดใจข้อเดียวตนก็คิดว่าคนอื่นก็ติดใจข้อนี้ข้อเดียวเหมือนกัน ก้าวอีกก้าวเดียวเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เรื่องง่ายมาก ตัดสินใจเสีย