Skip to content
Home » “พล.อ.ประยุทธ์” ควง “พีระพันธุ์” เปิดใจหวังพา รทสช. เดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศต่อไป

“พล.อ.ประยุทธ์” ควง “พีระพันธุ์” เปิดใจหวังพา รทสช. เดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศต่อไป

“พล.อ.ประยุทธ์” ควง “พีระพันธุ์” เปิดใจหวังพา รทสช. เดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศต่อไป บนพื้นฐานสำคัญคือความมั่นคงและสงบสุขของแผ่นดินไทย ระบุห่วง คนบางกลุ่มใช้การเมืองเปลี่ยนแปลงประเทศจนเกิดความแตกแยกของสังคม ถือเป็นภัยคุกคามทีสำคัญ อันตรายที่สุด หวังคนไทยจับมือกันป้องกันรักษาแผ่นดิน และวัฒนธรรมที่ดีของไทย ไว้ให้ลูกหลานต่อไป

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางนโยบายและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์เปิดใจเกี่ยวกับการตัดสินใจเข้าสู่การทำงานด้านการเมือง พร้อมแนวทางความตั้งใจในการทำงานตามนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเริ่มต้นเล่าถึงสาเหตุของการตัดสินใจเข้าสู่การทำงานด้านการเมืองอย่างเต็มตัวว่า  จริงๆ ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า ในอดีต ตนเป็น ผบ.ทบ.มาก่อน จึงให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคง และเห็นว่าหากจะพัฒนาเดินหน้าประเทศต่อไปได้ ประเทศจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคง และได้ทำการประเมินแล้วว่าหากจะเดินหน้าบนความขัดแย้งต่อไป ประเทศชาติจะตกอยู่ในความเสี่ยง และด้วยความเป็นห่วงนี้จึงต้องตัดสินอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตั้งแต่ปลายปี 65 กระทั่งต้นปี 66  ที่คิดว่าควรจะอยู่ต่อไหม  ขณะเดียวกันก็ได้รับฟังเสียงของประชาชนที่บอกว่าขอให้อยู่ต่อ เพื่อทำงานที่ยังไม่เสร็จ และประเทศไทยเองก็มีคนอยู่ทุกช่วงวัย ดังนั้นจึงอยากจะทำต่อให้เสร็จเพื่อส่งต่อไปการทำงานนี้ไปให้กับคนใหม่ที่จะเข้ามาทำต่อ สุดท้ายจึงตัดสินใจ แต่ก็ตัดสินใจอยู่นาน เพราะการมีอำนาจหากใช้ใช้ไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์ ต้องใช้ให้ถูกต้อง ให้เหมาะให้ควร ให้ถูกเวลา และต้องรับผิดชอบต่อประชาชน จึงได้ตัดสินใจที่จะเข้ามาทำงานกันเมืองในที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงหาเสียงที่ผ่านมา มีโอกาสได้เดินทางไปทั่วประเทศ ทำให้ได้สัมผัสถึงความหวังของประชาชนที่อยากจะได้รับสิ่งที่เขาต้องการ แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขารู้ว่ารัฐบาลทำมาตลอด แต่บางอย่างก็อาจจะยังไม่ถึงเขา ตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ ตนคิดเสมอว่า ประชาชนทั่วประเทศ 70 ล้านคนคือครอบครัวก็ต้องทำให้ทุกคนมีความสุข เหมือนกับครอบครัวของตัวเอง เวลาที่เห็นรอยยิ้มของประชาชน หรือเขาเห็นเรายิ้ม ทุกคนก็ดีใจ บางคนก็มาขอกอด ตนก็ให้กอดเพราะเป็นคนของประชาชนอยู่แล้ว หลายคนก็เอาปัญหามาฝาก  ที่อ่านแล้วครึ่งหนึ่งคือชื่นชมอีกส่วนหนึ่งคือปัญหาก็ต้องเอาไปคิดแก้ไข  โดยไม่ได้คิดเรื่องความปลอดภัยหรือเรื่องการปองร้าย เพราะคิดว่าคนทำความดีพระคุ้มครอง ตนไหว้พระขอโน่นนี่ทุกวัน แต่ไม่ใช่สายมู แต่สวดมนต์ขอให้ประเทศชาติปลอดภัย ให้บ้านเมืองสงบ ให้ทำงานได้สำเร็จ และขอให้ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ขอให้ทราบว่า ไปที่ไหนก็ตามตนจะเอาหัวใจไปด้วย หัวใจที่ยิ่งใหญ่พร้อมจะมอบให้กับประชาชนทุกคน

เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ที่จริงตนรู้จักนายพีระพันธุ์ มานานแล้ว ทราบว่าเป็นผู้พิพากษา เป็นคนเก่ง และคนดีและมีอุดมการณ์ ดีเอ็นเอตรงกัน ตอนที่จะลงมาเล่นการเมืองเต็มตัวก็มาดูพิจารณาว่าในพรรคมีใครบ้าง ก็พบว่า ผู้ร่วมทำงานมีน่าเชื่อถือ น่าเชื่อมั่น มีทุกเจน ผสมผสานกัน ตนเป็นคนสูงวัยอาจจะคิดช้า ก็ต้องการความคิดของคนรุ่นใหม่ที่ทำงาน นั่นคือต้องใส่ใจกัน ตอนนี้คือการเอาใจเขามาใส่ใจเราถึงจะทำงานร่วมกันได้ เรื่องนี้ตนเข้าใจดีมาตลอด เพราะในอดีตตอนอยู่กองทัพต้องพาคนไปรบ พาไปอยู่สนาม ถ้าหากไม่ใส่ใจกันไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราเขาก็ไม่มีกำลัง และด้วยแนวคิดทั้งหมดจึงตัดสินใจที่จะมาทำงานร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

“ตอนนั้นคุณพีระพันธุ์ มาบอกว่าจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ผมก็บอกว่าดีที่จะได้มีพรรคการเมืองที่ดีเพิ่มขึ้น ตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลง แต่ก็ดีใจที่จะมีพรรคการเมืองใหม่ เห็นว่ามีพรรคที่ดีเกิดขึ้น แต่ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยน ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าแล้วผมจะไปอยู่กับใคร ก็คิดว่าจะไปอยู่กับ “ลุงตุ๋ย” ไหม ตอนนั้นยังไม่ได้คิด แต่บันทึกไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรขึ้นมาจะไปอยู่ที่ไหนดี” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงพรรคเดิมที่เคยสังกัดว่า จริงๆ แล้วไม่ได้เกลียดกัน แต่มีบางอย่างที่ไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงต้องหาพรรคที่มีอุดมการณ์ที่ตรงกัน  ตนก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา ไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะตนไม่ชอบที่จะสร้างความแตกแยกอยู่แล้ว ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าต้องการเป็นการสืบทอดอำนาจหรือเปล่า อันนี้ตนคิดว่าแล้วแต่ประชาชนจะตัดสิน ว่าทำไมตนต้องอยู่ต่อ ทำเพื่อชาติไหม ทำเพื่อประชาชนไหม ที่ตนอยู่มา 8 ปี ตนเคยทำทุจริตไหม ไม่ใชว่าตนไม่ถูกตรวจสอบมีการตรวจสอบตลอด แต่ตนก็อยู่มาแล้ว 8 ปี อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปเอาของเขามา  ตนไม่เคยคิด คิดไม่เป็นเรื่องขี้โกง  โดยตอนที่ตัดสินใจทำต่อก็ได้ปรึกษาครอบครัว ทั้งภรรยาและลูกก็เป็นห่วงก็อธิบายความจำเป็นว่าทำไมต้องอยู่ ได้พูดอยู่สักพักจึงเข้าใจ เพราะที่จริงพวกเขาเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ ไม่อยากให้ใครมาว่าพ่อแบบนั้น ภรรยาก็คิดแบบนั้นได้บอกลูกว่า ขอทำอีกหน่อยพ่อก็อยากทำต่อเพื่อประชาชน ครอบครัวอยากพักผ่อนไปกับตนเพราะไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน ครอบครัวตนเป็น สมถะ ไม่มีแบรนด์เนม ลูกไม่มี ลูกสั่งกางเกงสั่งออนไลน์ เขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะตนไม่ได้สอนมาแบบนั้น

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เล่าถึงที่มาของเพลง “ลุงตู่อยู่ไหน” ว่าเป็นเพลงที่มีคนแต่งเพลงนี้มาให้ แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง เพราะจริงๆ ตนเป็นคนที่ชอบเรื่องเพลงอยู่แล้ว แต่พอเพลงกลายเป็นกระแสไวรัล เห็นทุกวัยจดจำได้ก็ปลื้มใจที่ทุกคนจำได้ เพราะเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทุกคนจำได้ โดยเฉพาะเยาวชนร้องเพลงและจำตนได้ก็เพราะส่วนหนึ่งได้เข้าไปทำงานให้กับทุกคนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำให้ปลืมใน ส่วนกรณีของคลิปเคมเปญต่างๆ  ที่กำลังเป็นที่พูดถึงใหนขณะนี้ตน คนคิดก็จะเอามาให้ตนดูก่อน เช่น คลิปห่านที่อธิบายเรื่องความยั่งยืนของการช่วยประชาชนเป็นโครงสร้างที่อยากให้ประชาชนเห็นและคิด  ขณะที่กรณีคลิปวีดีโอล่าสุดเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ฝ่ายหนึ่งอยากให้เป็น เรื่องนี้อยากจะให้คนคิดว่าถ้าไม่เคารพพ่อแม่ ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ วัฒนธรรมที่ดีของประเทศเปลี่ยนไปจะเป็นอย่างไร เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่อันตราย นั่นคือสิ่งที่คนบางกลุ่มต้องการเปลี่ยน จึงอยากจะถามคนไทยว่ารับได้หรือไม่ ถ้าเปลี่ยนแล้วดีตนจะไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนแบบนี้มันไม่ดี เกิดความแตกแยก ตื่นกันมาแต่เช้าต้องทะเลาะกัน เป็นสิ่งที่อันตรายตนรับไม่ได้ และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่จำเป็นต้องออกมาพูดบ้าง ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ไม่ได้ว่าอะไร แต่เห็นว่าถ้าประเทศแตกสลายไปแล้วก็อันตรายต่อประเทศชาติก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และเห็นว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องทำลายล้าง แต่ควรเป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่การบ่อนทำลายประเทศชาต

ในส่วนของนโยบายต่างๆ ที่ตอนนี้มีหลายพรรคการเมืองออกมาพูดว่าจะแจกเงินต่างๆ ซึ่งแตกต่างกับนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เพราะว่าตนรู้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ สามารถทำอะไรได้ เหมือนกับไปตลาดเราต้องรู้ว่าเรามีเงินเท่าไหร่ ตนเป็นนายกฯ มา 8 ปี ต้องรู้ว่างบฯ ประเทศมีเท่าไหร่เพราะได้ให้ได้ให้รายงานตลอด ดูว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ไม่ใช่ว่าแจก หรือขออะไรมาจะได้หมด ทุกอย่างต้องตอบสังคมได้ ดูแลจัดสรรงบประมาณอย่างดีที่สุด ประหยัดคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม เพราะเงินนี้เป็นของประชาชน ทุกคนให้รัฐบาลมาบริหารก็ต้องทำให้คุ้มค่าเพราะเป็นเงินของทุกคน ดังนั้นไม่ใช่ว่าจะเอามาแจกทั้งหมด แต่นโยบายของพรรคที่ทำอยู่ภายใต้สิ่งที่เป็นไปได้ ส่วนเรื่องการแพ้ชนะ เป็นเรื่องการตัดสินใจขอประชาชน สุดแท้แต่เลือกว่าจะเอาแบบไหน ถ้าไปแบบนั้นหมดประเทศก็ล่มสลายไป แล้วแต่ว่าจะให้ประเทศไปทางไหน เรื่องการแจกจ่ายสุรุ่ยสุร่ายเหมือนการขายประเทศ คนไทยมีศักดิ์ศรีเอาเงินมาซื้อได้ง่ายๆ มันไม่ได้ เพราะศักดิ์ศรีมีมากกว่านั้น

นอกจากนี้มีหลายสิ่งที่ทำมาแล้วเรื่องการทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทำมาแล้วมาก เพราะให้ทุกคนได้เข้าถึงโอกาสตามความสมัครใจ เช่น ถนนหนทางต่างๆ บางอย่างเสร็จแล้วบางอย่างยังไม่เสร็จ นอกจากนี้ยังมีปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องที่ดินทำกิน ตนได้ตั้ง คทช.เพื่อจัดหาที่ดินให้กับประชาชนได้มีที่ทำกิน รวมไปถึงเรื่องการเกษตรต่างๆ ที่จะต้องช่วยเหลือ ดูแลเรื่องราคาของผลิตผลทางการเกษตร ต้องควบคุมคุณภาพของเกษตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหาวิธีแก้ไขไป เช่นเรื่องข้าวหากต้องการหนีคู่แข่งก็ต้องพัฒนาคุณภาพและผลิตภัณฑ์ภายใต้การควบคุมต้นทุน เช่น ต้องหาปุ๋ยราคาถูก สร้างตลาดนอกจากนี้ยังมีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะมาช่วยลดต้นทุนการเกษตรด้วย  รัฐบาลในอดีตที่มีผ่านมาอยู่เพียงไม่กี่ปีก็ไม่มีเวลาทำ ทำอะไรเร็วๆ เพราะเขามีเวลาน้อยแต่ตนทำมา 8 ปี แปลกใจว่าทำไมถึงมีคนมาบอกว่าตนไม่ได้ทำอะไร ทั้งที่ทำงานมาตลอด ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่เห็น

“นโยบายต่างๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติมุ่งเรื่องของการทำให้เกิดขึ้นจริงทุกเรื่อง เพราะปัจจุบันเป็นโลกใหม่แล้วเราต้องก้าวหน้าให้ทันโลก  ตอนนี้การลงทุนก็เข้ามามาก แต่ไม่ได้เกิดได้อย่างรวดเร็วต้องใช้เวลา ตอนนี้ก็ต้องค่อยๆ ทำไป บางอย่างที่ทำแล้วติดขัดกฎหมายก็ต้องแก้ไข ให้ทำให้ถูกกฎหมายและสะดวกต่อการพัฒนา  ตอนนี้หากเทียบประเทศไทยเป็นบ้านตนคิดว่าทำไปแล้ว 50 เปอร์เซนต์ บางเรื่อง 70 บ้านใหญ่ของประเทศไทยต้องมีรากฐานที่มั่นคง แต่บ้านเล็กหมายถึงบ้านของประชาชนต้องให้ประชาชนมีบ้านที่ดีอยู่ตอนนี้ก็ทำไปแล้ว และเมื่อมีบ้านแล้วก็ต้องส่งเสริมอาชีพให้กับคนไทยต่อไปด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงประเด็นการเมืองที่มีกลุ่มพยายามใช้การเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ว่า  การเมืองมีบางกลุ่มดึงสถาบันมาเป็นคู่ขัดแย้ง ทุกคนทราบดีว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง บ้านเมืองอยู่มาด้วยสถาบันหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต้องไม่ลืมรากเหง้า สิ่งที่เขาพยายามทำไม่รู้ว่าเอาความคิดมาจากไหน ถ้าทำแบบนี้ประเทศชาติจะแตกเป็นเสี่ยงที่ผ่านมาคนไทยอยู่กันอย่างมีความสุขแต่หากไม่นับถือกันเลยจะอยู่อย่างไร นี่คืออุดมการณ์ของพรรคอยู่แล้ว ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้ ใครทำก็ดูแล คนทั้งประเทศย่อมไม่มีใครยอม ที่มีการพูดว่าความพยายามเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีการแทรกแซงจากต่างชาติ ตนก็คิดว่า มีอยู่จริง คนของเราไปร่วมมือด้วยต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เร็วขึ้น บางคนไปเรียนต่างประเทศมา ก็จะมาทำ แต่จะมาให้เกิดบ้านเราไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือประชาชนต้องช่วยกันปกป้อง เราเผชิญความแตกแยกนานเราจะกลับมาเจออีกหรือ ตราบใดที่ประชาชนยังอยู่แบบนี้ รักกันสามัคคีไปด้วยกันตนก็พร้อมจะต่อสู้ไปด้วยกัน บทเรียนที่ผ่านมาไม่พอกันอีกหรือ อับอายขายหน้าไปทั่วโลก คนที่คิดจะทำใจดำที่สุด ทำเพื่อจะเข้าสู่อำนาจเท่านั้นเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องป้องกัน แต่อยู่ในพื้นฐานของความสงบ ตอนนี้เด็กๆ ถูกสอนให้เกลียดทหาร ตนอยากจะบอกว่ายุทธโธปกรต่างๆ มีไว้เพื่อไม่รบ หรือให้จบไม่ใช่เพราะถ้าไม่มีก็สู้เขาไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาก็จะบานปลายล้มตายมากกว่า ซึ่งเหล่านี้ เรียกว่าศักยภาพ หลายคนบอกว่าไม่ต้องมีเรือรบก็ได้ เอาเรือประมงมาติดปืนเอา อันนี้คิดว่าดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า

“ตอนนี้ต้องหาคนเริ่มทำให้แตกแยก และโดนเขาใช้ให้มาทำให้ได้ก่อน แต่ก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่ะใคร วันหน้าก็ต้องหาทางดำเนินการทางกฎหมายกับคนเหล่านี้ให้ได้ แล้วสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมา ด้วยการศึกษาที่ดี ตอนนี้ส่วนดีก็เยอะส่วนที่สร้างความเข้มแข็งมั่นคงไม่มีเลย ต้องรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนใหม่ ไม่ใช่ความผิดของเด็กๆ เพราะเขาต้องการเห็นอะไรที่มีมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเขาไม่เคยเห็นในอดีต ผมสัญญาว่าจะปกป้อง รวมไทยสร้างชาติจะนำพาประเทศให้ปลอดภัย การแยกคนออกเป็นกลุ่มๆ แล้วปกครองมันง่าย การรวมกันแล้วปกครองเป็นเรื่องยากแต่ผมจะไม่ยอมให้แยก จะต้องปกครองร่วมกัน”

เมื่อถูกถามถึงกรณีการกลับประเทศของนายทักษิณ ชินวัตร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนที่ทำเรื่องก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ใครทำความผิดรับผิดชอบตัวเองคดีให้สิ้นสุดก็จบแล้ว ทำไมต้องทำให้คนในประเทศต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย ก็เหมือนคนทำผิดอื่นๆ เหมือนกัน ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน กฎหมายไม่ได้เลือกว่าเล่นงานคนชื่อนี้คนเดียวแต่ทำกับทุกคน

ด้านนายพีระพันธุ์  กล่าวว่า ตนทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ มาสามปีกว่าแล้ว รู้สึกมีความสุขที่สุดตั้งแต่ทำงานในชีวิตการเมือง ในชีวิตตนการที่จะโชคดีที่สุดคือได้เจอคนดี ถ้าทั้งชีวิตเจอแต่คนไม่ดีก็จะมีปัญหาทั้งชีวิต ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมาทำครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เกร็ง แต่จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนตลก มีมุกให้หัวเราะ แต่ที่เห็นและไปว่าคุยยาก ก็เพราะไปคุยในเรื่องที่ท่านไม่อยากคุย แต่ถ้าคุยในเรื่องที่สนใจเหมือนกันก็ไม่มีปัญหาอะไร

สำหรับตนแล้ว ตอนที่ทำงานแรกๆ เป็นที่ปรึกษาฯ ก็ไม่ค่อยได้ลงพื้นที่แต่เมื่อได้ลงพื้นที่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็พบว่ามีเสียงตอบรับดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก เยาวชน ที่ดูแตกต่างจากสื่อที่เคยเห็นในข่าว ต่างไปมาก สิ่งนี้ทำให้กระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเคยอยู่กับคนที่ถูกฟีเวอร์เยอะๆ ก็ยังไม่เท่ากระแสของ พล.อ.ประยุทธ์ และที่ได้ลงพื้นที่ไปทั่วประเทศเหมือนกันทุกจังหวัด ตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึง คนสูงอายุ ครบทุกช่วงวัย ผิดกับพรรคอื่นๆ ที่จะเห็นคนบางกลุ่ม แต่กับ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมีความนิยมทุกภาค และทุกช่วงวัย ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ล่าสุดไปที่ จ.สุราษฎร์ธานี นายจุมพล กาญจนะ มาบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นว่ากระแสตอบรับดีอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน  ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับที่เห็นในข่าว

“ผมตั้งใจทำพรรคตั้งแต่แรกคืออยากรวมคนดีมาไว้ด้วยกัน คนที่ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตอนนี้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ มาร่วมทำงานจึงเชื่อว่าพรรคจะดีขึ้นไป ตอนแรกยอมรับว่าเบื่อการเมืองแล้วแต่เมื่อได้มาทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำให้จุดไฟขึ้นมาใหม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีอายุมากกว่าแต่ยังมีไฟที่จะทำงาน จึงทำให้ผมคิดอยากจะกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง และคำว่า “รวมไทยสร้างชาติ” ก็มาจาก พล.อ.ประยุทธ์นี่เอง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึง ประเด็นที่มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลง ม.112 ของคนบางกลุ่มว่า คนชอบเอา 112 เป็นการเมืองกฎหมายอาญาร่างมานานแล้ว ตั้งแต่ ร.5 แต่ละประเทศก็มีเหตุผลภายในทุกประเทศ คือความมั่นคงของรัฐ แต่ละประเทสมีรากเหง้าความเป็นมาไม่เหมือนกัน แต่ประเทศต้องการประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็จะทำให้เกิดการตีกัน ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เมื่อมารวมกันอยู่ถ้าทุกคนใช้แต่เรื่องสิทธิเสรีภาพของตัวเองก็ตีกัน แต่ละประเทศถ้าใช้สิทธิของตัวเองประเทศก็วุ่นวาย ทุกคนทำอะไรก็ได้แต่ต้องไม่กระทบความมั่นคง ความมั่นคงแต่ละประเทศไม่เหมือนกันเพราะมีรากเหง้าไม่เหมือนกัน ประเทศไทย สถาบันมหากษัตรย์ สำหรับไทยคือมั่นคงของรัฐ ที่บอกว่าคืออย่ามายุ่งกับ 112 เพราะนี่คือความมั่นคงของเรา เพราะรากเหง้าของแต่ละประเทศต่างกัน ดังนั้น 112 ไม่ใช่เรื่องของกษัตริย์

นายพีระพันธุ์ ยังแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองในปัจจุบันว่า การเมืองวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนการเมืองคือการเมือง คนที่ทำงานการเมืองคือการทำการเมืองเพื่อการสู่อำนาจในการบริหารประเทศ พัฒนาประเทศ แข่งกันเพื่อเข้ามาแต่วันนี้บริบทเปลี่ยนไป แต่คนที่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศในรูปแบบเดิมไม่ได้ก็เลยเข้ามาในการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ใช่เข้ามาเป็นการสร้างความสามัคคี ส่วนตัวตนไม่คิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นพรรคการเมือง ระเบียของ กกต.เขียนไว้แล้ว แต่ทำไมถึงยังทำได้ ทำให้ตอนนี้การเมืองถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมืองที่เขาต้องการ ถ้ามองไปในอดีต ภัยที่มาถึงบ้านเมืองเรามีมาตลอดเหมือนกัน ที่แตกต่างกันไปแต่คือภัยคุกคาม เพียงแค่รูปแบบวิถีทางแตกต่างกัน แต่ที่อยู่รอดมาถึงวันนี้เพราะเมื่อภัยมาคนไทยจับมือกันจนมีประเทศไทยถึงทุกวันนี้ ส่วนตัวคิดว่าการคิดแบบนี้เป็นภัยคุกคามประเทศ ตามแนวคิดของตนนั้น สิ่งค้ำยันประเทศคือ สามเสาหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเคารพพ่อแม่ เป็นวัฒนธรรมหนึ่งเดียวในโลก ตนจะไม่ยอมให้เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นลำพัง พล.อ.ประยุทธ์ ตนหรือ พรรคจะต่อสู้ลำพังได้ ทุกคนจึงต้องออกมาช่วยกันดูแลต่อไป อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว เลือกรวมไทยสร้างชาติออกมาช่วยกันรักษาไทยให้เป็นไทยแบบนี้ต่อไป