[vc_row][vc_column][vc_gallery interval=”3″ images=”6772,6773,6771,6774,6775,6777,6776″ img_size=”large”][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_column_text]นักการเมืองทุกภาคแห่เข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติล้นหลามทุกวัน! สายอีสานได้ตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ครบทุกจังหวัดแล้ว หลังพี่น้อง “นปช.” หันมาสนับสนุนและจับมือกับพรรคเดินหน้าไปด้วยกัน เพื่อสร้างสังคมที่ถูกต้องเป็นธรรม
นายวิทยา แก้วภารดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ตน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และทีมผู้บริหารพรรค อาทิ นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ และนายสยาม บางกุลธรรม ได้เดินทางไปประชุมพูดคุยกับผู้สนับสนุนและผู้แสดงความจำนงที่จะลงสมัครเพื่อรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดขอนแก่น เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พรรครวมไทยสร้างชาติได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนในพื้นที่ภาคอีสานหลายจังหวัดที่เดินทางมาพบปะพูดคุยกัน โดยเฉพาะพี่น้อง นปช.ที่มาร่วมสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อร่วมพัฒนาประเทศไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เสนอตัวต้องการเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อลงสมัคร ส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสานร่วมแสดงความจำนงเข้ามาเป็นจำนวนมากเช่นกัน
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ล่าสุดเป็นที่น่าดีใจว่าขณะนี้มีผู้เสนอตัวที่จะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติในพื้นที่ภาคอีสานครบทุกจังหวัดแล้ว เช่น จังหวัดอุดรธานี มีว่าที่ผู้สมัครของพรรค ประกอบด้วย นายองอาจ วิเศษ ลงสมัครเขต 2 ดร.ณัฏยศ ผาจวง ลงสมัครเขต 3 นายมานิต อินทร์อำคา อดีต สจ.อุดรธานี ลงสมัครเขต 5
นายธนวัฒ ขันทะวิชัย ลงสมัครเขต 6 และ นางสาวอรัญญา ใจมั่น รองนายกเทศบาล ลงสมัครเขต 7
ขณะที่จังหวัดขอนแก่น มีว่าที่ผู้ลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว 2 เขต ได้แก่ ดร.วุฒิพงศ์ ศุภรมย์ ลงสมัครเขต 5 และนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ลงสมัครเขต 10 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับประชาชนและผู้สนับสนุนไปแล้ว โดยใน จังหวัดขอนแก่นยังมีผู้เสนอตัวเข้ามาเพิ่มเติมอีกเช่น นายสมชาย โตเจริญ เป็นต้น
ด้านจังหวัดบึงกาฬ มีนายเทียบประสิทธิ์ วรกุมมาร เสนอตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ส่วนว่าที่ผู้สมัครในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติของจังหวัดภาคอีสานอื่นๆ อยู่ระหว่างการเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยพรรคจะได้ประชาสัมพันธ์ผู้สมัครพร้อมนโยบายของพรรคให้ประชาชนพิจารณาต่อไป
“เป็นที่น่าดีใจว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่ต้องการเข้ามาทำงานด้านการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ตามแนวทางการทำงานของพรรค ที่มุ่งเรื่องการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง และช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนเป็นหลัก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในทุกพื้นที่ หลังจากมีโอกาสพบปะพูดคุยและได้รับกำลังใจจากพี่น้องในพื้นที่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยถูกมองว่ามีความขัดแย้งกันทางการเมืองกันมาก่อน เช่น พี่น้อง นชป. ที่ขณะนี้หันหน้ามารวมใจและร่วมมือเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองด้วยกัน ภายใต้การทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงถือเป็นสิ่งที่ดี ที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าต่อได้” นายวิทยา กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวด้วยว่า นอกจากพื้นที่ภาคอีสานแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังมีผู้สมัครในพื้นที่อื่นๆ ที่เตรียมตัวทยอยเปิดตัวเพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีนักการเมืองทั้งอดีตนักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองระดับท้องถิ่น นักการเมืองรุ่นใหม่ เดินทางเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคและขอเสนอตัวเป็นตัวแทนผู้สมัครใหม่ๆ ทุกวัน อาทิ สายเหนือมี นายวัฒนา สิทธิวัง เสนอตัวลงสมัครในจังหวัดลำปาง และสายใต้ล่าสุด มี นายสมบูรณ์ เวียงอุทัยกุล ได้ประกาศเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดตรัง เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติอย่างทางการไปก่อนหน้านี้แล้ว เป็นต้น
#พรรครวมไทยสร้างชาติ #สู้ให้ทุกปัญหา #พึ่งพาได้ทุกเรื่อง #สร้างสังคมเท่าเทียม #ทีมพีระพันธุ์[/vc_column_text][vc_column_text]“นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ เน้นที่เรื่องของการทำงานแบบสู้ทุกปัญหา ประชาชนสามารถพึ่งพาได้ทุกเรื่อง เพื่อที่จะทำให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามุ่งมั่นที่จะเข้ามาแก้ไขในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ หรือเศรษฐกิจ ด้วยพื้นฐานจากการที่ผมเคยทำงานด้านกฎหมาย ทั้งในฐานะอดีตผู้พิพากษา ที่ต้องอยู่กับกฎหมายมาตลอดทำให้ผมเห็นว่ามีกฎหมายของไทยจำนวนมากที่ยังไม่เอื้อต่อการทำงานพัฒนาประเทศ บางข้อก็เป็นอุปสรรค หรือยังทำให้เกิดการปิดกั้นโอกาสและเป็นปัญหาขัดแย้งมากมาย ดังนั้นในฐานะของ ส.ส.ที่มีหน้าที่ด้านการออกกฎหมายอยู่แล้ว จึงควรที่จะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ และนั่นคือนโยบายแรกที่พรรคเราจะทำ” นายพีระพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาตนได้เคยทำงานมาแล้วทั้งการเป็นผู้พิพากษา รัฐมนตรี และ ส.ส. ซึ่งถือว่าครบทั้งในส่วนของตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติ ทำให้เข้าใจปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา ขจัดเงื่อนไขในข้อกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานพัฒนาประเทศ ซึ่งยังเห็นว่ามีอยู่มาก โดยเฉพาะความไม่ละเอียดในเนื้อหาของกฎหมาย หรือความไม่ชัดเจน รวมไปถึงเงื่อนไขที่อาจจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคมได้ กฎหมายเหมือนกติกาสังคม แต่สังคมไม่ได้เป็นคนเขียน กลายเป็นว่าที่เขียนกฎหมายมาเพื่อให้ทำงานง่าย ไม่ได้เขียนมาในมุมมองว่าประชาชนได้ประโยชน์แค่ไหน ทำให้หลายครั้งกฎหมายมาสร้างความทุกข์ให้กับประชาชน ถ้ากฎหมายล้าสมัย ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งเรื่องการทำงานด้านนี้เป็นอันดับแรก เพราะเชื่อว่ากฎหมายจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานเพื่อบ้านเมืองได้ หากกฎหมายชัดเจน และไม่เป็นอุปสรรค ประเทศชาติก็จะเดินหน้าไปได้โดยไม่ติดขัด กฎหมายสามารถทำให้สังคมดีขึ้นได้
“กฎหมายบางประการก็ส่งผลถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ หรือกฎหมายทางธุรกิจ ที่ผมเห็นว่ากฎหมายบางตัวกลับเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก แต่กลับไปเอื้อให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งสะดวกในการทำธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องของข้อกำหนดเรื่องเงินกู้ ดอกเบี้ย หรือกฎหมายสัญญาต่างๆ ที่เป็นกรอบให้พวกเขาไม่สามารถเติบโตได้ หากเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้มากยิ่งขึ้น และยังจะส่งผลไปถึงกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อย ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศให้มีโอกาสในการทำมาหากินและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ตนไม่สนใจว่าใครจะพูดอย่างไร เพราะแต่ละคนก็มีชุดความคิดของตัวเองที่แตกต่างกันไปอยู่แล้ว ไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องไปปฏิเสธว่าจริงหรือไม่จริง เพราะสุดท้ายความจริงก็จะปรากฏเอง แต่ความตั้งใจของการตั้งพรรคไม่ได้วางไว้ว่าจะมาเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านหรือมาสนับสนุนใคร เพราะสิ่งที่มองไว้คือการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักเท่านั้น คือต้องการทำให้สังคมดีขึ้นกว่านี้ โดยไม่มองว่าจะต้องมีตำแหน่งอะไร เพราะเชื่อว่าหากทุกคนตั้งใจมาทำงานเพื่อประชาชนแล้ว ถึงไม่มีตำแหน่งอะไรก็สามารถทำงานได้เช่นกัน[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]