Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the happy-elementor-addons domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /var/www/vhosts/unitedthaination.or.th/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6114

Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the neve domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. โปรดดู การแก้ข้อผิดพลาดใน WordPress สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม (ข้อความนี้ถูกเพิ่มมาในรุ่น 6.7.0.) in /var/www/vhosts/unitedthaination.or.th/httpdocs/wp-includes/functions.php on line 6114
พีระพันธุ์ เร่งกรมที่ดินแก้ปัญหาที่ดิน“อ.พระแสง สุราษฎร์ฯ- อ. มวกเหล็ก สระบุรี” หลังชาวบ้านร้อง ขรก.ล่าช้าไม่ทำตามคำสั่งศาล - พรรครวมไทยสร้างชาติ
Skip to content
Home » พีระพันธุ์ เร่งกรมที่ดินแก้ปัญหาที่ดิน“อ.พระแสง สุราษฎร์ฯ- อ. มวกเหล็ก สระบุรี” หลังชาวบ้านร้อง ขรก.ล่าช้าไม่ทำตามคำสั่งศาล

พีระพันธุ์ เร่งกรมที่ดินแก้ปัญหาที่ดิน“อ.พระแสง สุราษฎร์ฯ- อ. มวกเหล็ก สระบุรี” หลังชาวบ้านร้อง ขรก.ล่าช้าไม่ทำตามคำสั่งศาล

พีระพันธุ์ เร่งกรมที่ดินแก้ปัญหาที่ดิน“อ.พระแสง สุราษฎร์ฯ- อ. มวกเหล็ก สระบุรี” หลังชาวบ้านร้อง ขรก.ล่าช้าไม่ทำตามคำสั่งศาล-ให้ข้อมูลผิดพลาดจนเสียหาย ชี้ หากพบ”ขรก.” ทำประชาชนเดือดต้องรับผิดชอบทั้งแพ่ง-อาญา

พีระพันธุ์ จี้กรมที่ดินเร่งสาง 2 ปัญหาร้องเรียน เคสแรกเป็นกรณีพิพาทที่ดินใน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งขอให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของบริษัทเอกชนตามคำสั่งศาลปกครอง หลังยื้อเวลายื่นอุทธรณ์โดยอ้างผลพิจารณาของคณะกรรมการฯว่า ยังไม่มีเหตุผลให้เพิกถอน แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่มีรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตามระเบียบราชการ ส่วนเคสที่ 2 เป็นกรณีที่ดินใน อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ซึ่งกรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของเอกชนที่ซื้อที่ดินมาอย่างถูกต้อง แต่กลับถูกแจ้งเป็นเอกสารสิทธิ์ไม่ชอบหลังขอยื่นจัดสรรทำประโยชน์ ชี้หากข้าราชการทำผิดประมาทเลินเล่อร้ายแรงจนเป็นเหตุให้ประชาชนเดือดร้อน อาจต้องรับผิดทั้งแพ่ง-อาญา ย้ำให้ตระหนักไว้เสมอข้าราชการทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ประชาชน ต้องยืดถือความเป็นธรรมเป็นสำคัญ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2565 ที่อาคารกองบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ปรึกษานายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ เป็นประธานในการประชุมตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่ดิน 2 กรณี โดยมีตัวแทนจากกรมที่ดินมารายงานชี้แจงการดำเนินงาน ตามข้อร้องเรียนของประชาชน

สำหรับกรณีแรกเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากประชาชนชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ ร้องเรียนโดยขอให้เร่งรัดกรมที่ดินดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครอง หลังจากยื่นฟ้องกรมที่ดิน อธิบดีกรมที่ดิน คณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรมป่าไม้ ในข้อกล่าวหาเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาพระแสง และบริษัทเอกชน ร่วมกันออกเอกสารสิทธิให้บริษัทเอกชนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ชาวบ้านในชุมชนไม่สามารถใช้ประโยชน์สาธารณะในพื้นที่ได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดิน ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่เป็น น.ส. 3ก จำนวน 10 แปลง และโฉนดที่ดิน 13 แปลง ของบริษัทเอกชน และให้อธิบดีกรมป่าไม้ ดำเนินการให้บริษัทเอกชนออกจากที่ดินพิพาทภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่คดีถึงที่สุด แต่จนถึงปัจจุบันกรมที่ดินก็ยังไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลแต่อย่างใด

ด้านตัวแทนกรมที่ดินระบุว่า สาเหตุที่กรมที่ดินยังไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล เนื่องจากกรมที่ดินยังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามความคิดเห็นของคณะกรรมการฯ ของกรมที่ดินจำนวน 5 ท่าน ที่ถูกตั้งขึ้นหลังชาวบ้านร้องเรียน โดยคณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า การออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าวเป็นไปโดยชอบแล้ว แต่ระหว่างนั้นชาวบ้านได้นำเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง จนกระทั่งศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 มี.ค.2564 ให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของบริษัทเอกชน แต่กรมที่ดินอ้างถึงผลการประชุมของคณะกรรมการฯ ในครั้งนั้น จึงได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองทำให้ยังไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายพีระพันธุ์ ได้สอบถามข้อเท็จจริงในรายละเอียดการดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดตามที่ตัวแทนกรมที่ดินชี้แจง ทำให้พบว่าในการดำเนินการของกรมที่ดิน ตั้งแต่ขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการฯ 5 ท่าน ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากยังไม่ได้ส่งเรื่องต่อเพื่อให้รองอธิบดีฯ ผู้รับผิดชอบในขณะนั้นลงนามรับรองผลการพิจารณา จึงต้องถือว่าผลการประชุมไม่สิ้นสุด และไม่เป็นไปตามระเบียบ จึงยังค้านความเห็นของคณะกรรมการฯ ไม่ได้

แต่ภายหลังศาลปกครองมีคำพิพากษา กรมที่ดินกลับนำผลการประชุมของคณะกรรมการมาเป็นเหตุผลในการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครอง ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง จึงได้สั่งการให้กรมที่ดินกลับไปรวบรวมรายละเอียดและเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินการทั้งหมดเพื่อนำมาตรวจสอบอีกครั้ง ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำผิด และขั้นตอนไม่ถูกต้อง จะได้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิดให้เป็นไปตามกฎหมาย และแก้ไขปัญหาที่ดินดังกล่าวให้กับประชาชน

“เรื่องนี้ผมเป็นเจ้าของเรื่องเองตั้งแต่ปี 2552-2553 สมัยที่ผมเป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมากี่ปีแล้ว แต่แก้ไขปัญหานี้ก็ยังไม่จบ ผมอยากให้นึกถึงว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเรา และส่วนราชการทำแบบนี้กับเรา แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร กรณีนี้ มีเหตุการณ์ยิงกันจนทำให้มีผู้เสียชีวิต และชาวบ้านเดือดร้อนมากี่ปีแล้ว มันควรทำให้จบได้แล้ว และหากตรวจสอบว่า มีการกระทำความผิดอยู่ที่ใคร คนนั้น หรือส่วนนั้นก็ต้องรับผิดชอบไปตามกฎหมาย” นายพีระพันธุ์กล่าวกับตัวแทนของกรมที่ดิน

ส่วนกรณีที่สอง เป็นการร้องเรียนของผู้ร้องซึ่งเป็นภาคเอกชน โดยได้ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง และศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ กรณีถูกกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินใน อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ซึ่งได้ซื้อจากเจ้าของเดิมมาตั้งแต่ปี 2553 ผู้ร้องระบุว่าก่อนซื้อที่ดินดังกล่าว ได้ทำการตรวจสอบความถูกต้อง ด้วยการสอบจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วว่าที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถซื้อขายได้หรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบจากทุกหน่วยงานยืนยันว่าเป็นที่ดินที่ถูกต้อง และสามารถซื้อขายได้ จึงได้ตัดสินใจซื้อที่ดินดังกล่าว อีกทั้งไม่เคยได้รับแจ้งจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เป็นเอกสารสิทธิที่มิชอบ ต่อมาราวปี 2559 จึงได้ดำเนินการขออนุญาตจัดสรรเพื่อทำธุรกิจบนที่ดินแปลงดังกล่าว แต่กลับได้รับแจ้งจากหน่วยงานราชการว่า เอกสารสิทธิที่ถืออยู่ออกโดยมิชอบ และถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในปี 2560 ซึ่งผู้ร้องได้พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงในรายละเอียดแนวเขตที่ดินต่างๆ เพื่อโต้แย้งและได้ทำหนังสือต่อกรมที่ดิน เพื่อขอให้พิจารณายกเลิกการเพิกถอน แต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใด ทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย จึงได้มาร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากนายพีระพันธุ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ เพื่อให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว

สำหรับกรณีนี้ ตัวแทนจากกรมที่ดินชี้แจงว่า จากผลการตรวจสอบของที่ดิน จ.สระบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่าตำแหน่งที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตของป่าไม้ถาวร แม้จะมีการโต้แย้งเรื่องการออกใบจองว่า ออกมาก่อนการประกาศเขตป่าไม้ถาวร แต่จากการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ก็พบว่าเป็นการออกใบจองหลังการประกาศเขตป่าไม้ถาวรตามคำยืนยันของกรมป่าไม้ จึงถือว่าเป็นการออกที่ไม่ชอบ ทำให้เอกสารสิทธิที่ออกให้จากใบจองดังกล่าวไม่ชอบไปด้วย และถึงแม้ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าพื้นที่ถูกกันออกจากเขตป่าไม้ถาวรแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และที่ดินที่อยู่นอกพื้นที่เขตป่าไม้ถาวร กรมที่ดินไม่ได้เพิกถอนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ด้านผู้ร้องระบุว่าได้ดำเนินการขอออกใบจองตั้งแต่ปี 2512 และมีการออกเอกสารสิทธิ์ของเจ้าของเดิมในปีเดียวกัน เนื่องจากกรมที่ดินได้รับคำยืนยันจากกรมป่าไม้ว่า ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร จึงดำเนินการตามคำยืนยันของกรมป่าไม้จนสามารถออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการรายงานรายละเอียดต่างๆ ของกรมที่ดินทำให้ทราบว่า กรณีนี้เกิดจากความไม่ชัดเจนของการกั้นแนวเขตป่าไม้ตามแผนที่ดาวเทียม ที่มีความละเอียดที่แตกต่างกันระหว่างในอดีตกับปัจจุบัน จนกลายเป็นปัญหาเรื่องแนวเขตที่ดิน ดังนั้นสิ่งที่ต้องตรวจสอบให้ความเป็นธรรม คือการที่ผู้ร้องได้ที่ดินดังกล่าวมานั้นเป็นการดำเนินการโดยสุจริตใจและเชื่อถือในหน่วยงานของรัฐ เพราะได้มีการตรวจสอบแล้วและต่อมาเกิดปัญหา แม้หน่วยงานที่ดินจะพบว่าเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่า แต่กลับไม่แจ้งให้ผู้ร้องรับทราบเพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อผู้ร้องดำเนินการขอจัดสรรที่ดินเพื่อทำประโยชน์ จึงทราบภายหลังทำให้เกิดความเดือดร้อนและเสียหาย

ดังนั้น นายพีระพันธุ์ จึงขอให้กรมที่ดินกลับไปตรวจสอบลำดับช่วงเวลา ข้อมูล และรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ ให้ชัดเจนตามข้อโต้แย้ง รวมทั้งเอกสารที่ผู้ร้องได้ส่งเพิ่มเติม เพื่อทำให้ข้อเท็จจริงปรากฎ  “ถ้าข้อเท็จจริงจบว่าผิด ก็ต้องว่ากันไปตามผิดและต้องดำเนินการเพิกถอน แต่ความเสียหายของเจ้าของที่เกิดขึ้น หากเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐที่ทำให้ผู้ร้องหลงเชื่อหน่วยงานของรัฐ ก็ต้องรับผิดชอบชดเชยให้เขา ซึ่งถ้าเป็นความบกพร่องประมาทเลินเล่อของระบบราชการ หน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นความผิดพลาดจงใจกลั่นแกล้ง เช่น การดึงเอกสารออกตามข้อร้องเรียนของผู้ร้องก็ต้องรับผิดชอบส่วนตัว ทั้งแพ่งและอาญา ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ดังนั้นถ้าที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในแนวเขตป่า ถ้าผิดจริงก็ต้องเพิกถอน จะบอกผิดเป็นถูกไม่ได้ แต่ถ้าความผิดครั้งนี้ เกิดจากฝ่ายรัฐและทำให้เอกชนเสียหาย ต้องให้ความเป็นธรรมเพราะเขาไม่ได้รับความถูกต้องจากภาครัฐ” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากการร้องเรียนของ 2 กรณีนี้ เป็นความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับจากการดำเนินการจากภาครัฐ โดยเฉพาะการที่ข้าราชการปฏิบัติงานไม่ถูกต้อง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดเพราะ 1. การลุแก่อำนาจ 2. การอาศัยความไม่รู้กฎหมายของประชาชน ซึ่งไม่รู้ว่าสิทธิอะไรที่ทำได้ตามกฎหมายบ้าง และ 3. เมื่อเกิดปัญหาแล้ว ประชาชนไม่ต้องการให้เกิดปัญหาระยะยาวจึงปล่อยผ่าน หรือกรณีผู้ที่ต้องการต่อสู้ก็ไม่รู้จะพึ่งใคร ได้แต่สู้ไปตามกำลังที่ตัวเองทำได้สุดท้ายก็หมดแรง

ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าความเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประชาชนต้องได้รับการชดเชย ซึ่งหากเจ้าหน้าที่คนนั้นทำผิดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทางต้นสังกัดจะจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้เสียหายไปก่อน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ต้องมาจ่ายเงินชดเชยคืนให้กับต้นสังกัด และถ้ามีเจตนาทำให้ประชาชนเสียหายก็ต้องรับผิดทางอาญาด้วย เรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องความไม่เป็นธรรม เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถือว่าตนเองมีอำนาจทางราชการ ใช้อำนาจทางกฎหมายวินิจฉัยแบบผิดๆ ถูกๆ ทำให้ประชาชนเสียหาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะกระทำแบบนั้น

“ผมจึงอยากฝากข้าราชการทุกท่านว่า พวกเราซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางครั้งมารับช่วงงานต่อจากคนอื่นที่เขาทำไว้จึงต้องตรวจดูให้ดี เพราะหากทำผิดพลาดแม้จะไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เมื่อมาอยู่ในความรับผิดชอบของเราวันนี้ และไม่ได้ตรวจสอบให้ดี แล้วทำไปตามสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไว้ในอดีต สุดท้ายมันกลายเป็นความผิดพลาดของเราเอง ซึ่งความจริงไม่ต้องรับผิด ก็เลยต้องรับผิดไป ผมขอฝากถึงเจ้าหน้าที่ข้าราชการทุกคนในการใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการในการอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน อันนี้ก็ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดความผิด ที่สำคัญคือ เราต้องตระหนักไว้เสมอว่า เราทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ประชาชน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเป็นธรรม ขอให้นึกไว้เสมอว่าเหตุเหล่านั้น ถ้าเกิดขึ้นกับเราเอง เราต้องการได้รับความเป็นธรรมแบบไหน ก็ขอให้ดำเนินการให้กับประชาชนแบบนั้นด้วยเช่นกัน” นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย

#รวมไทยสร้างชาติ
#สู้ให้ทุกปัญหา
#พึ่งพาได้ทุกเรื่อง
#สร้างสังคมเท่าเทียม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า