“พีระพันธุ์” ลงพื้นที่ร้อยเอ็ด ช่วยเหลือ 2 เคสยากจน–ด้อยโอกาส ชี้นายกฯ สั่งเร่งแก้ไข มองทุกปัญหาประชาชนสำคัญเท่ากัน
“พีระพันธุ์” ลงพื้นที่ร้อยเอ็ดติดตามแก้ปัญหาให้ประชาชน สั่งหาแนวทางขจัดอุปสรรคทเร่งช่วยเหลือ เพื่อคลี่คลายทุกข์ให้ประชาชนเร็วที่สุด ระบุยึดคำสั่งนายกฯ มองทุกปัญหาประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ต้องให้ความสำคัญเท่านั้น ล่าสุดลงพื้นที่ช่วยเหลือครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว เหตุต้องเลี้ยงดูลูกสาวพิการทางสมอง – ออทิสติก 2 คน และหลานชายวัย 5 ขวบ จนติดหนี้นอกระบบจำนวนมาก และครอบครัวเกษตรกรยากจนเลี้ยง 6 ชีวิต เพียงเงินผู้สูงอายุ
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงานเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 125 หมู่ 13 ต.โนนสวรรค์ อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาตามข้อร้องเรียนของประชาชนกรณี นางศศิกานต์ จ่อยลา อายุ 57 ปี ร้องขอความช่วยเหลือผ่านเทศบาล ต.โนนสวรรค์ เพื่อขอนำตัวลูกสาวพิการ 2 คนเข้าสถานสงเคราะห์ชั่วคราว และกรณีของนายเคน โยธาจันทร์ อายุ 66 ปีที่ต้องเลี้ยงครอบครัว 6 ชีวิตจากเงินผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งทั้งสองกรณีต้องการความช่วยเหลือเพราะมีความลำบากในการทำมาหากินจากความยากจน
นายพีระพันธุ์ ได้สอบถามรายละเอียดความเป็นมาของข้อร้องเรียน ทราบว่า กรณีของนางศศิกานต์ได้รับความเดือดร้อน เพราะต้องเลี้ยงดูบุตรสาวพิการ 2 คน และหลานชายวัย 5 ขวบอีกหนึ่งคนเพียงลำพังเนื่องจากสามีเสียชีวิต โดยลูกสาวคนโตอายุ 37 ปี พิการทางการได้ยิน,สื่อความหมายและพิการทางสติปัญญา ช่วยเหลือตัวเองได้เล็กน้อย ส่วนลูกสาวคนสุดท้องอายุ 22 ปี พิการออทิสติก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ขณะที่หลานชายเรียนอยู่ชั้นอนุบาล โดยพ่อของเด็กซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สองไม่ได้ส่งเสีย ทำให้นางศศิกานต์ต้องดูแลลูกและหลานด้วยตัวเองจากเงินคนพิการของลูกสาวเท่านั้น และยังมีหนี้นอกระบบอีกจำนวนกว่าสองแสนบาท
ขณะที่กรณีของนายเคน โยธาจันทร์ อายุ 66 ปี ชาว อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ที่ส่งหนังสือร้องขอความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันเพื่อเลี้ยงครอบครัวซึ่งประกอบด้วยภรรยา หลาน และเหลน รวม 6 คนแต่มีเพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และการประกอบอาชีพเลี้ยงเป็ดไก่ เท่านั้น ทำให้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
ทั้งนี้หลังรับการร้องเรียนหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดขอนแก่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด และโรงพยาบาลร้อยเอ็ด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความช่วยเหลือกับผู้ร้องเรียนทั้งสองแล้ว
โดยในส่วนของนางศศิกานต์ ได้รับการช่วยเหลือโดยการมอบเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและช่วยเหลือในการดูแลสุขภาพบุตรสาวพิการทั้งสองผ่านกลไก อสม. พยาบาล และ อพม. รวมทั้งติดตามดูแลความเป็นอยู่เป็นระยะ เพื่อให้นางศศิกานต์สามารถดำรงชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวต่อไปได้
ขณะที่ส่วนของนายเคน ได้รับเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยช่วยเหลือ 3,000 บาท ปีละ 3 ครั้ง ซึ่งในส่วนนี้ ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วในเดือนกรกฎาคม และอีกครั้งในเดือนกันยายนและหาครอบครัวอุปถัมภ์หลานทั้ง 4 คน อีกทั้งทางครอบครัวจะได้รับเงินสงเคราะห์เด็กอีกเดือนละ 5,000 บาท
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาท่านนายกฯ รับทราบมาตลอดว่ามีปัญหาร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก แต่เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีการทำงานที่อาจจะยังบูรณาการร่วมกันไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควร หลังจากการหารือร่วมกันนายกฯ จึงได้สั่งการให้ตนมาดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมีการช่วยประชาชนตามข้อร้องเรียนมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งเริ่มทำเพียงแต่เป็นการทำคนละรูปแบบกับปัจจุบันซึ่งตอนนี้ตนเข้ามาประสานให้รวดเร็วมากขึ้น
นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า จะจากการที่ลงพื้นที่ในวันนี้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะได้รับทราบปัญหาอุปสรรคต่างๆ จากเจ้าหน้าที่ที่ทำงานโดยตรงจะได้กลับไปหาแนวทางแก้ไข โดยเห็นว่าหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการทำงานด้วยกันปัญหาของประชาชนก็จะได้รับการแก้ไขได้รวดเร็วขึ้น วันนี้จึงถือเป็นผลสำเร็จหลังจากที่ได้มีการปรับปรุงการทำงานใหม่
“หลังจากนี้ก็จะต้องไปทั่วทุกพื้นที่ไม่ใช่เพียงแค่ จ.ร้อยเอ็ด และต้องอาศัยผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยทำงานเพิ่มเติมด้วยเพราะ มีเรื่องร้องเรียนมาที่ 1111 จำนวนมาก อย่างเคสวันนี้เขายื่นเรื่องตั้งแต่ปี 61 มาถึง 65 เขาก็ทนมา 4 ปี พอท่านนายกฯ มอบหมาย ผมก็เรียกมาดูเลยว่ามีกรณีไหนเร่งด่วน และลงพื้นที่มาเลย พอมาดูพบว่าหน่วยราชการเขาทำกันอยู่แล้วเพียงแต่ทุกหน่วยมีอุปสรรค แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะรายงานไปที่ไหน อันนี้เราจะได้กลับไปหาแนวทางแก้ไขเรื่องขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้รวดเร็วขึ้น ก็ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว
ด้าน นางศศิกานต์ กล่าวว่า หลังได้รับความช่วยเหลือรู้สึกดีใจมาก เมื่อก่อนเหมือนตนลอยคออยู่กลางทะเลคนเดียวมองไม่เห็นฝั่ง แต่วันนี้มีที่พึ่งมากขึ้น และยิ่งเห็นว่านายพีระพันธุ์ลงพื้นที่มาด้วยตัวเอง ตนรู้สึกดีใจมาก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รับโอกาสนี้ เพราะตนเป็นเพียงคนยากจน รากหญ้าที่อยู่ห่างไกล ตอนนี้ในส่วนของการช่วยเหลืออื่นๆ ต้องแล้วแต่ทางราชการจะพิจารณา ส่วนตัวอยากให้ลูกได้มีโอกาสได้รับการดูแลเรื่องของประกันสังคม หรือสวัสดิการของคนพิการอย่างเหมาะสม และตนก็อยากจะได้อาชีพที่มีรายได้ประจำเพื่อจะได้เลี้ยงลูกกับหลาน
“ตอนนี้มีกำลังใจสู้ต่อไป เพราะท่านพีระพันธุ์ ท่านนายกฯ และทีมงานของท่านดีกับครอบครัวเรามาก วันนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าท่านพีระพันธุ์จะลงมาเยี่ยมด้วยตัวเอง อยากฝากขอบคุณที่ท่านยังไม่ลืมราษฎรณ์รากหญ้าอย่างเรา จะไม่ลืมพระคุณท่าน ซาบซึ้งในน้ำใจของท่านที่มาช่วยเหลือ อยู่มา 22 ปี เพิ่งจะได้รับการช่วยเหลือในครั้งนี้” นางศศิกานต์ กล่าว
ขณะที่นายเคน กล่าวว่า ตนและครอบครัวดีใจมากที่นายพีระพันธุ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ลงพื้นที่มาดูแลด้วยตัวเอง อยากฝากขอบคุณไปถึงนายกรัฐมนตรี ที่ทำถูกแล้วเพราะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและอยากให้นายกฯ ได้ปกครองบ้านเมืองต่อไป[vc_column width=”1/2″][vc_single_image image=”3455″ img_size=”large” label=””][vc_column width=”1/2″][vc_single_image image=”3456″ img_size=”large”][vc_column width=”1/2″][vc_single_image image=”3457″ img_size=”large”][vc_column width=”1/2″][vc_single_image image=”3458″ img_size=”large”]